การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เตรียมขยายศูนย์ SME–ITC อีก 9 พื้นที่นิคมทั่วประเทศด้วยงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท โดยคาดหวังให้ศูนย์ฯเป็นแหล่งบ่มเพาะสตาร์ทอัพ 5 กลุ่ม เพื่อป้อนสู่อุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและอุตสาหกรรมเป้าหมายในแต่ละนิคม ได้แก่ สตาร์ทอัพด้านอีคอมเมิร์ซ สตาร์ทอัพด้านสุขภาพและเครื่องมือการแพทย์ สตาร์ทอัพด้านการเกษตรและอาหาร สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีใหม่ในการส่งเสริมอุตสาหกรรม และสตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์
นายวีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการจัดตั้งศูนย์ SMEs Industrial Transformation Center : SME–ITC ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยนอกจากจะมีเป้าหมายพัฒนาผู้ประกอบการเอสเอ็มอีแล้ว กนอ.ยังมุ่งที่จะส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการกลุ่มสตาร์ทอัพ ทั้งในเรื่องของการต่อยอดธุรกิจให้เกิดขึ้นจริง การสร้างนวัตกรรมใหม่ๆที่สอดคล้องกับภาคธุรกิจและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงเป็นกลไกสำคัญที่จะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศให้มีการเติบโตขึ้น โดยศูนย์จะมุ่งเน้นที่การสร้างระบบนิเวศ หรือ Startup Ecosystem เพื่อให้เกิดบรรยากาศและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการผลิตสตาร์ทอัพให้มีคุณภาพ พร้อมหนุนแนวคิดหรือโมเดลธุรกิจเกิดใหม่ๆ ให้สามารถขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ศูนย์ฯได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบแล้วที่นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง พร้อมขยายโครงการฯ ระยะที่ 1 สู่นิคมอุตสาหกรรมอีก 9 พื้นที่ ได้แก่ นิคมฯ ลาดกระบัง นิคมฯ ภาคเหนือ นิคมฯ ภาคใต้ นิคมฯ บางปะอิน นิคมฯ อมตะนคร นิคมฯ มาบตาพุด นิคมฯ บางปู นิคมฯ สมุทรสาคร และนิคมฯ บางชัน ซึ่งจะใช้งบประมาณในการจัดตั้งเบื้องต้น 20 ล้านบาท และจะทยอยเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายน–กรกฎาคม 2561 ส่วนแผนขยายโครงการฯระยะที่ 2 จะพัฒนาต่อไปอีก 3 พื้นที่ ได้แก่ นิคมฯ ราชบุรี นิคมฯ เกตเวย์ นิคมฯ อัญธานี โดยคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงสิ้นปีนี้
สำหรับรูปแบบการบ่มเพาะสตาร์ทอัพของศูนย์ SME-ITC มีองค์ประกอบที่สำคัญ 6 ส่วน ได้แก่ Co-Working Space พื้นที่เพื่อการทำงานร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการและสตาร์ทอัพ Sand Box สนามทดลองและถ่ายทอดเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ พร้อมด้วยบริการเครื่องมือทันสมัย เช่น เครื่องพิมพ์ 3D เครื่องสแกน 3D Experts Pool บริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ อุตสาหกรรม Knowledge Center บริการห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ และศูนย์ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ Network Creation การเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน อาทิ ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรมแห่งอนาคต (ITC) ศูนย์บริการธุรกิจอุตสาหกรรม (BSC) รวมทั้งสถาบันการศึกษา สถาบันการเงิน และบริษัทเอกชนที่มีศักยภาพในการเป็น Big Brother รวมกว่า 50 บริษัท และ SMEs Standard Factory โรงงานสำเร็จรูปเพื่อผู้ประกอบการเอสเอ็มอีหรือสตาร์ทอัพที่มีความพร้อมในการจัดตั้งกิจการพื้นที่ละประมาณ 500-1,000 ตารางเมตร
นายวีรพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า กนอ.ได้ตั้งเป้าที่จะพัฒนาสตาร์ทอัพ 5 กลุ่ม ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม คือ สตาร์ทอัพด้านอีคอมเมิร์ซ สตาร์ทอัพด้านสุขภาพและเครื่องมือการแพทย์ สตาร์ทอัพด้านการเกษตรและอาหาร สตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีใหม่ในการส่งเสริมอุตสาหกรรม และสตาร์ทอัพด้านโลจิสติกส์ ซึ่งการเกิดขึ้นของสตาร์ทอัพเหล่านี้จะสอดรับกับอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและอุตสาหกรรมเป้าหมายของพื้นที่แต่ละนิคม ได้แก่ 1.กลุ่มยานยนต์สมัยใหม่ ดิจิทัล หุ่นยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ในนิคมฯ แหลมฉบัง 2.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ แปรรูปอาหาร หุ่นยนต์ ในนิคมฯ ลาดกระบัง 3.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อาหาร เกษตรแปรรูป ในนิคมฯ ภาคเหนือ จ.ลำพูน 4.กลุ่มเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ ยางพารา ในนิคมฯ ภาคใต้ จ.สงขลา 5.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ในนิคมฯ บางปะอิน 6.กลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องไฟฟ้า ในนิคมฯ อมตะนคร 7. กลุ่มพลาสติก โลจิสติกส์ ในนิคมฯ มาบตาพุด 8.กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ในนิคมฯ บางปู 9.กลุ่มแปรรูปอาหาร ในนิคมฯ สมุทรสาคร และ 10.กลุ่มแปรรูปอาหาร บริหารจัดการโลจิสติกส์ ในนิคมฯ บางชัน
สำหรับผู้ประกอบการที่สนใจรายละเอียด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ถนนนิคมมักกะสัน กรุงเทพฯ โทร. 0 2253 0561 หรือ www.ieat.go.th