เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ คอร์ปอร์เรชั่น ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการด้านไอซีทีโซลูชันและการสื่อสารระหว่างประเทศ ในกลุ่มบริษัท เอ็นทีที กรุ๊ป สรุปเทรนด์อุตสาหกรรมไอที เพิ่มประสิทธิภาพด้วย Digital Transformation ได้เต็มรูปแบบ โดยหันมาใช้ระบบเอาต์ซอร์สอย่างมั่นใจมากขึ้น โดยเอ็นทีทีได้จัดโซลูชันรองรับระบบโครงสร้างพื้นฐานและระบบการเชื่อมต่อ พร้อมระบบซีเคียวริตี้ดูแลความปลอดภัยแบบครบวงจรเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ทั้งบน Cloud และ Hybrid Cloud นอกจากนี้คนไทยจะได้สัมผัสกับการทำงานของเทคโนโลยี AI ที่รองรับภาษาไทยในปี 2018
นายมานาบุ คาฮาระ ประธาน บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่าในปี 2018 ภาพรวมของธุรกิจไทยยังถือเป็นประเทศที่น่าลงทุนหากพิจารณาจาก GDP ต่อหัวของประชากรในกรุงเทพฯ เมื่อเทียบกับประชากรในอเมริกาเหนือที่มีแนวโน้มสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบการเติบโตของประชากรในกรุงเทพฯ กับภาคอื่น ๆ จะเห็นว่ายังมีความเหลื่อมล้ำสูงมาก ซึ่งแนวโน้มในอนาคตจะเห็นว่าประเทศไทยเริ่มปรับตัวจากประเทศอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานก้าวสู่การเป็นประเทศที่นำเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาดำเนินธุรกิจแทน ในขณะเดียวกันไทยก็กำลังมุ่งเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ ในปี 2040 จะเหลือวัยทำงานที่อายุ 15-59 ปีเพียงแค่ 35.1 ล้านคนเท่านั้น ดังนั้นสิ่งที่ต้องเร่งทำในตอนนี้คือการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้ประชากรแต่ละคนสามารถทำงานได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นออกมาสู่ตลาด
“เอ็นทีทีพร้อมผลักดันธุรกิจไทยให้ดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการทำ Digital Transformation ซึ่งองค์กรธุรกิจสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นกับบริการเอาต์ซอร์ส ซึ่งวิธีการเอาต์ซอร์สจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถนำเทคโนโลยีและข้อมูลต่าง ๆ มาช่วยขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมถึงไม่จำเป็นต้องลงทุนด้านไอทีเป็นจำนวนเงินมาก ๆ” ประธานเอ็นทีทีให้คำแนะนำ
นายมาซาโตชิ ซึโบอิ รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการด้านผลิตภัณฑ์ บริการ และศูนย์ข้อมูล บริษัท เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ในปี 2018 เราเริ่มขยายอีโคซิสเต็มส์ด้วยการจับมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ พร้อมกับนำเทคโนโลยีและโซลูชันใหม่ ๆ โดยแบ่งกลยุทธ์การให้บริการออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ กลุ่มแรกคือบริการบนระบบเชื่อมต่อและโซลูชันหรือ Overlay Services เช่น Cloud, SD-WAN, UCaaS และ AI เป็นต้น กลุ่มที่ 2 เป็นบริการบนโครงสร้างพื้นฐานไอซีทีหรือ ICT Infrastructure Services เช่น Data Center, ISP, International Network ฯลฯ"
ส่วนโซลูชันทางธุรกิจที่เอ็นทีทีจะนำเสนอแบ่งออกเป็น 6 กลุ่ม ได้แก่
o บริการ Data Center และ Disaster Recovery (DR) เพื่อบริหารจัดการลดความเสี่ยงการจัดเก็บข้อมูลสำหรับองค์กรธุรกิจ
o บริการ Hybrid Cloud ผสมผสานการทำงานร่วมกันระหว่าง Public Cloud และ Private Cloud เพื่อให้เกิดความคุ้มค่าสำหรับองค์กร
o บริการ Security ด้วยการบริหารจัดการด้านระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร ช่วยให้สามารถปกป้องระบบและข้อมูลสำคัญขององค์กรได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้น
o SAP บริการ Cloud สำหรับระบบ ERP และ BI ให้แก่เหล่าธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีของ SAP เป็นหลัก
o 3D VDI ให้บริการ 3D CAD ผ่าน VDI บน Private Cloud ให้ธุรกิจโรงงานและการผลิตสามารถทำการออกแบบได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง สามารถเข้าถึงได้จากทุกที่ทุกเวลา
o บริการ Workstyle Renovation เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยการใช้ระบบสื่อสารของเอ็นทีที
ในปีหน้าลูกค้าจะได้สัมผัสถึงเทคโนโลยี AI ที่เอ็นทีทีจะให้บริการจาก AI พนักงานต้อนรับหรือ AI Reception ที่รองรับการทำงานทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น เพื่อการโต้ตอบกับลูกค้าได้อย่างชาญฉลาดและแม่นยำด้วยการนำ Machine Learning และ Deep Learning มาใช้วิเคราะห์ทั้งข้อความแชต เสียงสนทนา รวมถึงมีระบบ Face Recognition สำหรับจดจำใบหน้าของลูกค้าได้ด้วย
ทั้งนี้ เอ็นทีที คอมมิวนิเคชั่นส์ได้ขยายศูนย์ข้อมูลหรือ Data Center และบริการคลาวด์เชื่อมธุรกิจใน 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงเข้าด้วยกัน ปัจจุบันเริ่มมีลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านมาใช้บริการ Data Center Bangkok 1 และ Data Center Bangkok 2 หรือ Nexcenter โดยครอบคลุมทั้งประเทศเมียนมาร์ กัมพูชา และลาว ปัจจุบันเอ็นทีทีให้บริการดูแลลูกค้ากว่า 1,000 ราย ให้บริการเครือข่ายด้วยการเชื่อมต่อมากกว่า 5,000 การเชื่อมต่อ และให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์รวมกันมากกว่า 500 แร็ค เชื่อมต่อระบบให้เกิดภาพของ Hybrid Cloud, Private Cloud และ Public Cloud ได้ตามต้องการ