เอกอัครราชทูตกลิน ที. เดวีส์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย (กลาง) มอบรางวัล “องค์กรที่มีความรับผิดชอบดีเด่น” ระดับโกลด์ ให้แก่ เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส โดยมี นายวิสุทธิ์ พันธ์สุขุมธนา ผู้จัดการอาวุโส บริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย (ที่ 4 จากขวา) พร้อมตัวแทนจากเฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส เป็นผู้รับมอบ ณ งานมอบรางวัลองค์กรที่มีความรับผิดชอบดีเด่น ครั้งที่ 10 จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย
เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส (FedEx) บริษัทในเครือเฟดเอ็กซ์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการขนส่งแบบด่วนรายใหญ่ที่สุดของโลก ได้รับรางวัล “องค์กรที่มีความรับผิดชอบดีเด่น”ระดับโกลด์ จากหอการค้าอเมริกันในประเทศไทย ครั้งที่ 10
ในการที่จะได้รับรางวัลองค์กรที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมดีเด่นนั้น โครงการเพื่อสังคมของบริษัทจะต้องได้รับคะแนนระดับสูงใน 4 ประเภท ได้แก่ 1.ให้ความสำคัญกับเป้าหมายทางธุรกิจและความต้องการของสังคม 2.สร้างสรรค์ประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมในระยะยาว 3.สื่อสารและเผยแพร่หลักการปฏิบัติที่ดีที่สุด และ 4.เน้นการสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืน
จีน่า แกลวิน กรรมการผู้จัดการบริษัท เฟดเอ็กซ์ เอ็กซ์เพรส ประเทศไทย กล่าวว่า “เรารู้สึกภูมิใจที่ได้รับรางวัลองค์กรที่มีความรับผิดชอบดีเด่นถึง 7 ปีอย่างต่อเนื่อง การคืนประโยชน์แก่สังคมเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของเฟดเอ็กซ์ รางวัลนี้สะท้อนให้เห็นถึงการอุทิศตนของพนักงานของเราที่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อพัฒนาชุมชนในประเทศไทย ทั้งนี้ เฟดเอ็กซ์ได้ส่งเสริมความปลอดภัยในการใช้ทางเท้าและธุรกิจขนาดเล็กและผู้ประกอบการเพื่อการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนผ่านโครงการปันน้ำใจของเฟดเอ็กซ์ หรือ FedEx Cares”
นอกจากนี้ เฟดเอ็กซ์ยังสนับสนุนโครงการเพื่อสังคมอีกมากมายที่สอดคล้องกับนโยบายความแข็งแกร่งทางธุรกิจ อาทิ โครงการ FedEx Walk This Way ส่งเสริมความปลอดภัยทางท้องถนน โครงการ FedEx/Junior Achievement International Trade Challenge สำหรับผู้ประกอบการรุ่นเยาว์ และ โครงการ FedEx Career Camp ส่งเสริมการพัฒนาอาชีพ อีกทั้ง พนักงานเฟดเอ็กซ์ในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจะร่วมกันทำกิจกรรมจิตอาสาเพื่อคืนประโยชน์สู่สังคมทุกปีซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในโครงการ FedEx Cares
โครงการ FedEx Cares ของเฟดเอ็กซ์มุ่งส่งเสริมการคืนประโยชน์แก่สังคม โดยเฟดเอ็กซ์จะใช้งบประมาณกว่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการส่งมอบโอกาสที่ดี และนำเสนอแนวทางในการจัดการกับปัญหาให้กับชุมชนต่าง ๆ มากกว่า 200 ชุมชนทั่วโลกภายในปี 2563