ผลการสำรวจผู้นำภาคธุรกิจในอุตสาหกรรมการแพทย์ในเอเชียซึ่งรวมถึงประเทศไทยของไมโครซอฟท์ เอเชีย ว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปด้วยดิจิทัลเผยว่าองค์กรต่าง ๆ จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงรูปแบบและแนวทางการทำธุรกิจเพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลได้ โดยร้อยละ 77 เชื่อว่าต้องการเปลี่ยนแปลงสู่ธุรกิจแบบดิจิทัลเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและความสำเร็จในอนาคต แต่มีเพียงแค่ร้อยละ 25 ที่มีแผนกลยุทธ์ธุรกิจเรียบร้อยแล้ว ร้อยละ 45 อยู่ในขั้นตอนเพื่อพิจารณาหน่วยงานในการนำร่องการปฏิรูปด้วยดิจิทัล ขณะที่ร้อยละ 30 ยังขาดความพร้อมในเชิงกลยุทธ์
ผลสำรวจของไมโครซอฟท์ว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปด้วยดิจิทัลในเอเชียทำการสำรวจผู้นำภาคธุรกิจจำนวน 1,494 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ทำงานในองค์กรที่มีพนักงานมากกว่า 250 คน จาก 13 ประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวันและไทย โดยผู้ทำแบบสำรวจเป็นส่วนหนึ่งในทีมที่ช่วยพัฒนากลยุทธ์ดิจิทัลให้องค์กร ซึ่งรวมถึงธุรกิจการแพทย์จำนวน 247 แห่ง
นางสาวทาเทียน่า มารัชเชฟสกาย่า ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จากผลสำรวจของไมโครซอฟท์ว่าด้วยเรื่องการปฏิรูปด้วยดิจิทัลในเอเชีย พบว่าอุตสาหกรรมการแพทย์ในเอเชียแปซิฟิกเริ่มมีความตื่นตัวและมองเห็นความจำเป็นในการปฏิรูปธุรกิจในยุคดิจิทัล เพื่อเตรียมตัวรับความท้าทายและโอกาสในการเติบโตทางธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ที่ข้อมูลหรือ Data เข้ามามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วยปรับเปลี่ยนระบบการดำเนินงานทางการแพทย์จากแบบเดิมสู่แบบใหม่ ด้วยการบริหารจัดการสุขภาพของบุคคลและสาธารณสุขโดยรวมให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยลง เราจึงอยากผลักดันให้ผู้นำภาคธุรกิจก้าวสู่การปฏิรูปธุรกิจด้วยดิจิทัล ท่ามกลางกระแสความเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นทั้งจากภายในและภายนอกองค์กรเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างน่าเชื่อถือ”
โรงพยาบาลพระรามเก้ามุ่งยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานด้วยดิจิทัล
ในประเทศไทย ไมโครซอฟท์ทำงานร่วมกับองค์กรในทุกอุตสาหกรรมอย่างใกล้ชิดเพื่อช่วยเป็นกำลังผลักดันการปฏิรูปธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล อุตสาหกรรมการแพทย์ถือเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ไมโครซอฟท์เข้ามามีบทบาทในการช่วยส่งเสริมการยกระดับการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น สร้างความเชื่อมั่นให้กับองค์กร พนักงาน ตลอดจนคนไข้หรือลูกค้าของโรงพยาบาล
แพทย์หญิงปิยะรัตน์ สัมฤทธิ์ประดิษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการกำกับดูแลฝ่ายสารสนเทศ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า “โรงพยาบาลพระรามเก้าเป็นโรงพยาบาลเอกชนที่ไม่มีสาขา มีพนักงานกว่า 1,200 คน และมีผู้ป่วยนอกมารับบริการเฉลี่ย 1,100 คนต่อวัน ดังนั้นโรงพยาบาลจึงจำเป็นต้องขยายอาคารและปรับปรุงระบบเพื่อรองรับปริมาณผู้ป่วยที่เพิ่มมากขึ้น ตอบรับการดำเนินงานตามมาตรฐานสากลของโรงพยาบาล ดังนั้นเมื่อโรงพยาบาลเติบโตขึ้นเราจึงต้องวิเคราะห์ความเสี่ยงและหาวิธีดูแลและวิเคราะห์ข้อมูลคนไข้ให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น ทางโรงพยาบาลจึงเห็นว่าต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เพื่อช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานในองค์กร เสริมสร้างความเชื่อมั่นตามพันธกิจของเรา โดยเริ่มต้นจากระบบสำรองข้อมูลในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินหรือ Disaster Recovery ด้วยการจัดเก็บข้อมูลการทำงานของโรงพยาบาล รวมไปถึงข้อมูลคนไข้บนคลาวด์เพื่อสร้างความเชื่อมั่นว่าโรงพยาบาลจะสามารถดำเนินงานต่อได้อย่างแม่นยำแม้จะมีเหตุการณ์ที่เราควบคุมไม่ได้เกิดขึ้น นอกจากนั้นวิสัยทัศน์ของโรงพยาบาลพระรามเก้าคือการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการบริหารจัดการรวมไปถึงวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมจัดสรรวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงบริการทางสุขภาพได้สะดวกและรวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็ยังช่วยบุคลากรทางการแพทย์ของโรงพยาบาลในการดูแลข้อมูลผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันพนักงานกว่า 600 คนจะได้รับสิทธิในการเข้าถึงข้อมูลตามแต่ละหน้าที่รับผิดชอบ คลาวด์จึงเป็นทางเลือกที่ดีมากในการเข้ามาช่วยบริหารจัดการเพื่อยกระดับการทำงานให้โรงพยาบาลสามารถทำงานได้มั่นใจและยังช่วยลดต้นทุนในการทำงานอีกด้วย เป้าหมายของโรงพยาบาลคือการตั้งเป้าสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัลด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาขับเคลื่อนเพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งแบ่งเป็น 3 ด้าน คือธุรกิจจะต้องดำเนินไปได้อย่างมั่นคง สามารถควบคุมความเสี่ยงได้ในด้านการดูแลรักษาคนไข้ สร้างความเชื่อมั่นโดยการบริหารจัดการข้อมูลคนไข้ให้เป็นไปอย่างถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลรักษาคนไข้ให้ได้รับการรักษาที่ดีและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น การวิเคราะห์ข้อมูลคนไข้ ตรวจสอบพฤติกรรมเชิงลึก ซึ่งระบบจะเข้ามาช่วยป้องกันความผิดพลาดพร้อมแนะนำการบริการได้ โซลูชัน Business Intelligence จากไมโครซอฟท์ที่ประกอบด้วย SQL Server Enterprise Edition และ Mobile BI ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบสารสนเทศโรงพยาบาล (HIS) ได้เป็นอย่างดีเข้ามาตอบโจทย์การวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากในโรงพยาบาลเพื่อให้สามารถนำข้อมูลต่าง ๆ ในระบบมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเหมาะสม รวมทั้งยังสร้างความมั่นใจและลดความเสี่ยงในการดูแลและปกป้องข้อมูลคนไข้ของโรงพยาบาลได้อีกด้วย”
แพทย์หญิงปิยะรัตน์ได้กล่าวเสริมถึงอนาคตของโรงพยาบาลพระรามเก้าว่า “เรามีการวางแผนระยะยาว 3 ปีในการบริหารจัดการข้อมูลของโรงพยาบาลให้มีความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำดาต้าไมน์นิ่งและวิเคราะห์ข้อมูลการแพทย์ (Analytics) เพื่อจัดเก็บเป็นข้อมูลพื้นฐานของโรงพยาบาล โดยสามารถเข้าถึงตามหน้าที่รับผิดชอบของแต่ละสายงาน รวมทั้งการบริหารจัดการสินทรัพย์ เช่น การตรวจสอบประวัติการใช้งานของอุปกรณ์การแพทย์เพื่อความปลอดภัยต่อการใช้งานครั้งถัดไปกับคนไข้อื่น ทั้งหมดนี้เรามีจุดมุ่งหมายที่อยากให้ทุกคนทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้จะช่วยให้ทุกคนทำงานง่ายขึ้นและอำนวยความสะดวกลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์แบบ ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลหาวิธีรักษาคนไข้ได้อย่างตรงจุด ทั้งยังช่วยต่อยอดพัฒนาโรงพยาบาลในทิศทางที่ดีโดยไม่ก้าวล่วงจริยธรรมทางการแพทย์ ในตอนนี้เรากำลังพยายามเร่งปรับเปลี่ยนแนวคิดในการทำงานของบุคลากรเพื่อนำดิจิทัลเข้ามาช่วยปฏิรูปองค์กรให้มีความมั่นคงและปลอดภัยอย่างยั่งยืน”
นางสาวทาเทียน่ายังกล่าวต่อไปว่า “ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้ปูทางไปสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ซึ่งมีนวัตกรรมอย่างปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) เครือข่าย IoT (Internet of Things) การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Advanced Data Analytics) และการผสมผสานโลกดิจิทัลเข้ากับโลกแห่งความจริง (Mixed Reality) ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของเทคโนโลยีคลาวด์ จะเปิดประตูไปสู่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด ผลสำรวจครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าผู้นำภาคธุรกิจการแพทย์มีความพร้อมในการเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ยุคดิจิทัลกันมากขึ้น ไมโครซอฟท์เชื่อว่าการปฏิรูปทางธุรกิจนี้จะมีความเกี่ยวข้องใน 4 มิติหลัก ได้แก่ การเสริมศักยภาพให้กับทีมแพทย์ การเข้าถึงคนไข้ การบริหารการรักษาอย่างเหมาะสมและปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการปรับเปลี่ยนรูปแบบการรักษาได้อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือการใช้งานข้อมูลและคลาวด์ที่จะเข้ามาช่วยขับเคลื่อนอุตสาหกรรมการแพทย์ให้บรรลุเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว การใช้ประโยชน์จากข้อมูลและการวิเคราะห์ข้อมูล คือขุมทรัพย์ทางธุรกิจรูปแบบใหม่ของผู้ให้บริการด้านการแพทย์ โดยร้อยละ 76 ของผู้นำทางธุรกิจเห็นด้วยว่าข้อมูลเชิงลึกจะช่วยเพิ่มรายได้ให้ผู้ให้บริการด้านการแพทย์ได้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้ให้บริการด้านการแพทย์จึงควรนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาอย่างต่อเนื่อง ช่วยพัฒนาการให้บริการด้านการแพทย์กับผู้ป่วยได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีเกิดใหม่โดยเฉพาะคลาวด์ การวิเคราะห์ (Analytics) และนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างปัญญาประดิษฐ์ (AI) และ IoT (Internet of Things) จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้อุตสาหกรรมการแพทย์ในการปฏิรูปธุรกิจ อย่างไรก็ตามการปฏิรูปธุรกิจที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ต้องมาพร้อมด้วยแรงสนับสนุนของบุคลากร โดยต้องมาจากการจัดหาเครื่องมือให้พนักงานเพื่อตอบสนองการทำงานให้ตรงจุด การขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูลและการเน้นลูกค้าเป็นสำคัญ ซึ่งเป็นปัจจัยหลักในการปฏิรูปธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลทั้งหมด องค์กรและคนทั่วไปจะไม่ใช้เทคโนโลยีที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะเราอยู่ในโลกที่โมบายล์และคลาวด์มีบทบาทสำคัญมากในการดำรงชีวิต การสร้างความมั่นใจทั้งในด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว และการปฏิบัติตามกฎระเบียบคือปัจจัยสำคัญในการให้บริการด้านการแพทย์อย่างน่าเชื่อถือในยุคแห่งการปฏิรูปธุรกิจด้วยดิจิทัล การปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนจำเป็นต้องใช้วิธีการใหม่และมีความผสมผสาน ซึ่งนับเป็นสิ่งจำเป็นที่เราต้องให้ความสำคัญในการลงทุน”
ภารกิจของไมโครซอฟท์คือการเป็นกำลังสำคัญให้ทุกคนและทุกองค์กรบนโลกนี้บรรลุผลสำเร็จที่ดียิ่งขึ้นผ่านการพัฒนาเทคโนโลยีที่ดี ซึ่งจะช่วยส่งเสริมด้านความคิดสร้างสรรค์ ริเริ่มเทคโนโลยีของตนเองและพัฒนาโซลูชันเพื่อทำให้เกิดขึ้นจริง ไมโครซอฟท์มีเอกลักษณ์ในด้านการเพิ่มขีดความสามารถให้ธุรกิจทุกขนาดปรับเปลี่ยนไปสู่ธุรกิจดิจิทัลด้วยโซลูชันเทคโนโลยีที่ยืดหยุ่น การบริการที่ผสมผสานและการลงทุนเพื่อเทคโนโลยีที่น่าไว้วางใจ ทั้งด้านความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัว การควบคุม การปฏิบัติตามกฎระเบียบและมีความโปร่งใส
ผู้สนใจสามารถค้นหาข้อมูลและติดตามความเคลื่อนไหวของไมโครซอฟท์ในการพลิกโฉมธุรกิจสู่ยุคดิจิทัลได้ที่ https://blogs.microsoft.com/transform/