(ในรูปจากซ้ายไปขวา) นายโอภาส โลพันธ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นางสาวรุ่งฉัตร บุญรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) นายแฮรี่ สานูสิ ประธานกรรมการ บริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย และ นายปีเตอร์ เชสัน กรรมการบริษัทสายการเงิน บริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย)
มาลีกรุ๊ป สานต่อกลยุทธ์รีคอนเนกต์ในการจับมือกับบริษัทพาร์ตเนอร์ชั้นนำที่มีความเชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสินค้าใหม่ รวมถึงช่องทางขายและการจัดจำหน่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในการขับเคลื่อนธุรกิจสู่การเป็น ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพระดับโลกอย่างมั่นคงและยั่งยืน ครั้งนี้ ด้วยการร่วมทุนกับบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเซีย (PT Kino Indonesia Tbk) หนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ที่มีความมั่นคง และจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ IDX ของประเทศอินโดนีเซีย เพื่อก่อตั้ง 2 บริษัทในการดำเนินธุรกิจใน 2 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทยภายใต้ชื่อ บริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด และประเทศอินโดนีเซีย ภายใต้ชื่อ บริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย ในการเดินหน้าผลิต และจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั้งในไทยและอินโดนีเซียที่มีกำลังซื้อรวมถึงกว่า 330 ล้านคน ด้วยทุนจดทะเบียนร่วมกันของ 2 บริษัทรวม 400 ล้านบาท
นายโอภาส โลพันธ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “มาลีได้ตกลงเซ็นสัญญาความร่วมมือจัดตั้ง 2 บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท มาลี กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเชีย (PT Kino Indonesia Tbk) หนึ่งในบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคชั้นนำของประเทศอินโดนีเชียด้วยทุนจดทะเบียนของทั้ง 2 บริษัทรวมกัน 400 ล้านบาท ซึ่งเป็นทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 50% หรือ 200 ล้านบาท ซึ่งการร่วมทุนในครั้งนี้ ถือเป็นการร่วมทุนประเทศที่ 2 หลังจากที่มาลีได้ร่วมตั้งบริษัท Monde Malee Beverage Corporation ที่ประเทศฟิลิปปินส์ใน พ.ศ.2558”
“โดยมาลีได้เลือกอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศกลยุทธ์ในการขยายตลาด เพราะเป็นประเทศยุทธศาสตร์หลักของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เห็นได้จาก 1.จำนวนประชากรที่มีมากถึง 260 ล้านคน ซึ่งถือเป็นประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในภูมิภาคนี้ 2.ประกอบกับจำนวนประชากรในกลุ่มชนชั้นกลางมีการเติบโตอย่างมากโดยคาคการณ์ว่าจาก 96 ล้านคนในปี 2015 จะเพิ่มเป็น 141 ล้านคนในปี 2020 และ GDP มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 5% ทุกปีทำให้มีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่ในเรื่องของกำลังการซื้อ 3.ศักยภาพในเรื่องของการกระจายสินค้าของบริษัท พีที คีโน่ อินโดนีเชีย โดยประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีความยากในเรื่องของการกระจายสินค้าเนื่องจากเป็นหมู่เกาะ แต่พันธมิตรของเรามีความแข็งแกร่งในการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้า โดยมีศูนย์กระจายสินค้ากว่า 30 แห่งที่ครอบคลุมร้านค้ามากกว่า 1 ล้านแห่งในประเทศอินโดนีเซีย นอกจากนี้ ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญในการผลิตและการทำการตลาดผลิตภัณฑ์ยอดนิยมติดอันดับต้น ๆ ใน 4 เซกเมนต์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้งผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับยา และยังมีหน่วยงานในการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยเฉพาะอีกด้วย”
นายโอภาส กล่าวต่อว่า “สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัท มาลี คีโน่ ประเทศไทย จำกัด จะเน้นการทำการตลาดและการจัดจำหน่ายสินค้าในกลุ่มบริษัทคีโน่ด้วยการนำเข้า ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนบุคคล (Personal Care Products) ที่เหมาะกับกลุ่มผู้บริโภคในประเทศไทยและ สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย บริษัท พีที คีโน่ มาลี อินโดนีเซีย จำกัด จะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเครื่องดื่ม รวมทั้งการขยายตลาดน้ำผลไม้ตรามาลี สำหรับผู้บริโภคในประเทศอินโดนีเซีย โดยขณะนี้อยู่ในช่วงของการศึกษาตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภคของทั้งสองประเทศ และคาดว่าจะเริ่มดำเนินธุรกิจได้ภายในกลางปีของ พ.ศ.2561
“เรามั่นใจว่าการร่วมทุนดังกล่าวจะช่วยสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันของทั้ง 2 บริษัท ทั้งในส่วนของการขยายฐานธุรกิจเข้าไปในตลาดใหม่และสร้างความแข็งแกร่งให้กับตลาดที่ดำเนินธุรกิจอยู่แล้ว ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายตอบโจทย์ผู้บริโภคยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้โตอย่างก้าวกระโดดได้อย่างแน่นอน” นายโอภาสกล่าวทิ้งท้าย