เนื้อหาวันที่ : 2017-10-19 10:42:23 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1334 views

ดีป้าเผยผลสำรวจการใช้ซอฟต์แวร์ภาคอุตสาหกรรมบริการสุขภาพปี 2559 เร่งต่อยอดดิจิทัลเพื่อสุขภาพหวังดันคุณภาพชีวิตและสาธารณสุข

สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า (DEPA) หน่วยงานในสังกัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เผยผลสำรวจใน โครงการการสำรวจข้อมูลการใช้ซอฟต์แวร์ในภาคอุตสาหกรรมหลักประจำปี 2559 (ภาคสุขภาพ) เล็งเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์ไทยด้านสุขภาพ บริการสุขภาพในรูปแบบที่หลากหลายผ่านอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อมอบการให้บริการที่สะดวกและทันสมัยให้กับประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ และเพื่อประสิทธิภาพการให้บริการด้านสาธารณสุขที่เพิ่มสูงขึ้น

ดร.กษิติธร ภูภราดัย รองผู้อำนวยการ กลุ่มยุทธศาสตร์และบริหาร สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล หรือดีป้า กล่าวว่าวัตถุประสงค์ของโครงการเป็นไปตามนโยบายของดีป้าเพื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรม เพื่อการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าอย่างยั่งยืน และยังสอดคล้องกับร่างกรอบยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ตามยุทธศาสตร์ด้านการปรับสมดุลและพัฒนาระบบการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อการพัฒนาระบบการให้บริการประชาชนของหน่วยงานภาครัฐฯ เป็นการพัฒนางานบริการของหน่วยงานภาครัฐสู่ความเป็นเลิศเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้รับบริการในทุกภาคส่วน ทั้งประชาชน นักธุรกิจ เอกชน โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง

โครงการนี้เน้นสำรวจข้อมูลทั้งในด้านการใช้งานซอฟต์แวร์ การส่งผ่านข้อมูลระหว่างหน่วยงานรัฐและกลุ่มโรงพยาบาลทุกขนาดเพื่อให้ทราบและเข้าใจถึงแนวโน้มความต้องการในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้าเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ในการสร้างและบริหารจัดการข้อมูลคนไข้ที่ต้องส่งต่อกันระหว่างผู้ให้บริการ ผู้จ่ายเงิน และผู้ควบคุมดูแล รวมทั้งเพื่อศึกษารูปแบบการให้บริการที่จะช่วยให้ประชาชนสามารถติดต่อกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวเนื่องกับการรักษาพยาบาลผ่านทางออนไลน์หรือโมบายล์โดยไม่จำเป็นต้องเดินทาง

“ในการที่จะนำซอฟต์แวร์หรือเทคโนโลยีดิจิทัลมาสร้างเครื่องมือหรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในภาคการบริการสุขภาพ เราต้องพิจารณาถึงประโยชน์ ความคุ้มค่า ประสิทธิภาพในการใช้งานและการให้บริการ เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดีป้าเองได้เห็นถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการที่ประเทศไทยควรจะต้องเร่งพัฒนาความพร้อมทั้งในแง่ของระบบและในแง่ของทรัพยากรให้ทันต่อยุคเศรษฐกิจดิจิทัลที่วิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จึงต้องศึกษาให้เข้าใจเพื่อการวางแผนทั้งในระยะสั้นและระยะยาวที่มีประสิทธิผลสูงสุด” ดร.กษิติธรกล่าว

จากการศึกษาสิ่งที่หน่วยงานด้านการบริการสุขภาพต้องการเห็นในอีก 4 ถึง 5 ปี ข้างหน้า คือการสร้างระบบฐานข้อมูลกลาง (Centralization) เพื่อแบ่งปันข้อมูลร่วมกัน นอกจากนี้ในมุมมองของโรงพยาบาลยังต้องการให้เกิดรูปแบบการให้บริการแบบ “Patient-centered medicine” หรือการให้บริการที่มีผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง โดยให้ผู้ป่วยมีการเคลื่อนที่น้อยที่สุด ซึ่งการจะทำให้เกิดการให้บริการรูปแบบนี้ได้จำเป็นต้องมีระบบซอฟต์แวร์และไอทีที่มีประสิทธิภาพ อาทิ ระบบการนัดหมายแพทย์ที่รวดเร็ว โดยอาจนำโมบายล์แอปพลิเคชันเข้ามาช่วยมากขึ้น จากที่ในปัจจุบันได้มีการทำในลักษณะช่องคีออสที่คนไข้สามารถตรวจสอบสิทธิ รวมทั้งตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลได้ด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ ผลสำรวจสอดคล้องกับโครงการส่งเสริมการใช้งานระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของดีป้าที่มุ่งเน้นการดำเนินการพัฒนาและเชื่อมโยงข้อมูลสารสนเทศจากระบบปฏิบัติการโรงพยาบาล : Hospital Information System หรือ HIS มาสู่ประชาชนและบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งสามารถแสดงผล (Output) ข้อมูลประวัติสุขภาพในรูปแบบเว็บเซอร์วิสและแอปพลิเคชันบนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่หลากหลาย บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ผ่านฐานข้อมูลกลางที่ออกแบบให้รองรับโครงสร้างข้อมูลในแต่ละจังหวัดให้สามารถแสดงผลอย่างถูกต้อง โดยการดำเนินงานโครงการศึกษาและพัฒนาระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคลมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชน บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่สาธารณสุขต่าง ๆ และทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ประโยชน์จากระบบระเบียนสุขภาพอิเล็กทรอนิกส์ส่วนบุคคล (Personal Health Record : PHR) ซึ่งมุ่งเน้นการขยายฐานจำนวนประชาชนใช้งานระบบให้มากที่สุดทั้งในส่วนของการแสดงผลข้อมูลและบันทึกข้อมูล ซึ่งจะส่งผลให้ฐานข้อมูลระบบ PHR มีฐานที่ใหญ่ขึ้น สามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์และออกนโยบายการสาธารณสุขร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ผลสำรวจระบุว่าการพัฒนาและการนำเอาเทคโนยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในภาคการบริการด้านสุขภาพจะนำไปสู่การให้บริการแบบ Homecare ที่จะช่วยให้คนไข้ได้รับบริการสาธารณสุขจากที่บ้านในอนาคต รวมทั้งสามารถดูแลตัวเองได้โดยใช้เครื่องมือ Wearable Device ที่เชื่อมต่อเข้ากับเซิร์ฟเวอร์หรือคลาวด์ของโรงพยาบาลเพื่อได้รับการดูแลจากบุคลากรทางการแพทย์ได้โดยไม่ต้องมาโรงพยาบาลหากไม่จำเป็น หรือมีระบบแจ้งเตือน (Alert) เตือนไปยังญาติหรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ดูแลอยู่ได้หากเกิดกรณีฉุกเฉิน ทำให้สามารถดูแลรักษาได้ทันท่วงที

“บทบาทหนึ่งของดีป้าคือการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัลอย่างยั่งยืนเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน พันธกิจของเรายังมุ่งเน้นในการทำหน้าที่เป็นแกนกลางในการส่งเสริม ประสาน และบูรณาการความร่วมมือทุกภาคส่วนให้เกิดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้อย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้นผลที่ได้จากโครงการวิจัยนี้จะสามารถนำไปต่อยอดการนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปใช้เพื่อผลักดันการให้บริการด้านสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นในอนาคต” ดร.กษิติธรกล่าวสรุป