จากเวทีสัมมนาครั้งแรก ในหัวข้อเทคโนโลยีฟินเทคที่ประสบความสำเร็จด้านการมีส่วนร่วมจากผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีและด้านการเงินที่หลากหลาย ทั้งนี้ “Fintech Dynamics in Asia” ที่ผ่านมา ณ C asean โดยรวบรวมกลุ่มต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีด้านการเงิน เพื่อเปิดโอกาสให้มีการสร้างเครือข่าย การแบ่งปันประสบการณ์ และเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับแนวโน้มเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่น่าจับตามอง
ในการร่วมมือครั้งนี้ระหว่าง บริษัท ที.ซี.ซี. เทคโนโลยี จำกัด หรือ ทีซีซีเทค (TCCtech) สมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย (TFTA) และ บริษัทวิจัยระดับโลก International Data Corporation (IDC) มีผู้สนใจเข้าร่วมงานกว่า 70 ราย รวมถึงผู้ดูแลกฎระเบียบ (Regulator) ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญทางการเงิน นักลงทุนและผู้ประกอบการในธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทค ซึ่งงานดังกล่าวได้สะท้อนความมุ่งมั่นในการขับเคลื่อนความร่วมมือระหว่างกลุ่มฟินเทคในประเทศไทยและผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานระดับพรีเมี่ยม รายหลักของประเทศอย่าง TCCtech
ปัจจัยหลักที่นำมาซึ่งความสำเร็จของ Fintech Dynamics in Asia คือการมีส่วนร่วมของสมาคมฟินเทคแห่งประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันถือเป็นจุดศูนย์รวมของนวัตกรรมแห่งเทคโนโลยี Fintech ระดับประเทศอย่างแท้จริง และอีกหนึ่งปัจจัยคือ การสนับสนุนที่ดีจากกลุ่มผู้ประกอบการฟินเทค กลุ่มสตาร์ทอัพ ผู้ดูแลกฎระเบียบ และสถาบันบริการด้านการเงิน (FSI) ในประเทศไทย
ทั้งนี้เวทีดังกล่าวประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลัก คือ 1.การแนะนำวัตถุประสงค์ของการเปิดเวทีสัมมนาจาก TCCtech มุ่งเน้นการริเริ่มสร้างสรรค์และการนำเสนอเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเทคโนโลยีฟินเทค 2.การอัพเดททิศทางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีฟินเทคในเอเชียแปซิฟิก พร้อมกรอบการทำงานเพื่อความร่วมมือภายในอุตสาหกรรมและเพิ่มขีดความสำเร็จของเทคโนโลยีฟินเทค 3.การแบ่งปันความรู้ โดยผู้เชี่ยวชาญได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีฟินเทคที่นำเสนอ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ โดยสามารถนำมาประยุกต์และใช้ประโยชน์ได้
ตลอดจนความสำคัญเกี่ยวกับการตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจใหม่ที่กระทบต่อธุรกิจ สังคม และเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ เพราะสิ่งเหล่านี้มีอิทธิพลต่อรูปแบบการทำธุรกิจของฟินเทค โดยธุรกิจสตาร์ทอัพฟินเทค ต้องพิจารณาหาพาร์ทเนอร์ที่ถูกต้อง เพื่อจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่กล่าวมาข้างต้นได้เป็นอย่างดี สำหรับในส่วนของ TCCtech ได้เน้นเรื่องการนำเสนอเครื่องมือที่จะช่วยตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มฟินเทค ด้านการพัฒนาแพลตฟอร์มสำหรับเทคโนโลยีต่างๆ โดยสนับสนุนตั้งแต่กระบวนการคิด (Ideation) การพัฒนา (Development) จนไปสู่การลงมือปฎิบัติ (Execution) เพื่อรองรับให้ฟินเทคสามารถส่งมอบบริการที่มีประสิทธิภาพและน่าเชื่อถือ
IDC Financial Insights ได้กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงที่มีนัยสำคัญในตลาด โดยอ้างอิงถึงการคาดการณ์ที่สำคัญสำหรับบริการทางการเงิน อันเป็นส่วนหนึ่งของงานวิจัย FutureScape ซึ่งเป็นเอกสารแสดงถึงแนวโน้มสำคัญที่ต้องจับตามองในอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน
การคาดการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีที่สำคัญ 10 อันดับแรก
เทคโนโลยีที่ Fintech มองหา
ปัจจุบัน อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน รวมทั้งฟินเทคต้องการเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่จะพัฒนา “ทุกอย่างที่จะช่วยนำสินค้าและบริการเข้าสู่ตลาด” จากโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่การประมวลผล การพัฒนาแอพพลิเคชั่น กระบวนการทำงานที่เข้าถึงง่ายและสะดวก ตลอดจนความสามารถในการทำงานของแอพพลิเคชั่น สถาบันที่ให้บริการทางการเงินทั่วไปจะเสียประโยชน์อันเนื่องมาจากเทคโนโลยีที่ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงซึ่งตกทอดมาจากยุคก่อน ในขณะที่ต้องประเมินว่าเทคโนโลยีอะไรที่จะนำมาผสมผสานกับเทคโนโลยีในอนาคต
ฟินเทคสามารถตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้ดีกว่า ในมุมที่ไม่มีภาระที่ตกทอดมามากนัก แต่คือผู้รับมรดกจากเทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นที่รู้กันว่างานที่แต่เดิมต้องทำด้วยการรวบรวมบันทึก คอมพิวเตอร์ส่วนตัว workflow และใช้คนทำงานจำนวนมาก ปัจจุบันนำเสนอได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยผ่านเทคโนโลยี Interface ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทสตาร์ทอัพยังเห็นว่ากิจกรรมทางการเงินส่วนใหญ่ รวมทั้งการจ่ายเงิน การบริหารความมั่งคั่ง การกู้ยืม และการ Refinance ต่างก็ต้องใช้ความเฉลียวฉลาดทางธุรกิจและการวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อวิเคราะห์และคาดการณ์ความต้องการของลูกค้า เช่นเดียวกับการกำหนดกระบวนการที่ฟินเทคจะนำมาใช้มัดใจลูกค้า เทคโนโลยีที่ผู้เข้าร่วมการเสวนาเชื่อว่าจะได้รับชัยชนะในตลาดได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุดประกอบด้วย
ทั้งนี้ 3 เทคโนโลยีแรกถูกจัดประเภทกว้างๆ อยู่ใน “การวิเคราะห์ข้อมูล” อันเป็นอนาคตขององค์กรต่างๆ ที่จะลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการวิเคราะห์ข้อมูลแบบ Manual หรือด้วยการใช้แรงงานมนุษย์มหาศาล เทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยพัฒนาสินค้าตามความต้องการของลูกค้า ในการนำ Artificial Intelligence (AI) และการเรียนรู้ด้วยเครื่องจักรมาใช้จริง ซึ่ง ฟินเทคจะต้องเก็บข้อมูลจากการทำธุรกรรม (มากที่สุดและ real-time ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้) และจะต้องมีแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้เพื่อจะประสาน รวบรวม และเก็บข้อมูลทั้งหมด ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเทคโนโลยีลำดับที่สี่อันได้แก่แพลตฟอร์มและบริการ Cloud ที่เชื่อถือได้จึงมีความสำคัญ
โอกาสในด้านข้อมูลและ Cloud
IDC Financial Insights ระบุว่าการวิเคราะห์จะถูกนำมาใช้ในบริษัทต่างๆ และการใช้งานที่หลากหลาย อันจะส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของความต้องการข้อมูลที่เป็น real-time แม่นยำ และเป็นข้อมูลที่มีคุณค่า อันจะเป็นประโยชน์ต่อการติดต่อกับลูกค้า
นอกจากนี้ IDC Financial Insights ยังได้แนะนำแนวคิดของ Data Monetization ที่จะเชื่อมโยงธนาคารและฟินเทค ให้สามารถสร้างธุรกิจที่มีรายได้จากธุรกรรมที่เกิดขึ้นจากข้อมูล ทั้งนี้ในกรอบการทำงานของโมเดลธุรกิจที่ใช้ข้อมูลสร้างรายได้นั้น องค์กรจะต้องสร้างท่อข้อมูล ทั้งออกและเข้า เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลอันจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มที่สมเหตุสมผล ซึ่งในที่สุดจะนำธนาคารและธุรกิจฟินเทคมาสู่คำถามว่าจะสร้างธุรกิจข้อมูลได้อย่างไร คำว่า “สมเหตุสมผล” จะต้องเข้าใจว่าการแลกเปลี่ยนข้อมูลบางครั้งอาจไม่มีการแลกเปลี่ยนด้วยเงิน ความเข้าใจของลูกค้าขึ้นอยู่กับว่าข้อมูลที่แบ่งปันนั้นมีมูลค่ามากพอในการตอบโจทย์ด้านความพึงพอใจของลูกค้าหรือไม่
ยิ่งไปกว่านั้น สถาบันการเงิน (FSIs) ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าและนำมาพัฒนาเพื่อยกระดับการให้บริการพร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน อาทิ การเปิด API (Application Program Interface) เพื่อประสานฟินเทคกับองค์กรภายนอกที่เชื่อถือได้ การเปิดกว้างเพื่อการได้มา การใช้ และการส่งข้อมูล จะทำให้ฟินเทคและสถาบันการเงินสามารถร่วมกันส่งมอบสินค้าและบริการได้ถูกต้องตามเวลาและสถานที่เพื่อประโยชน์ของลูกค้า
ในแง่ของประสิทธิภาพด้านต้นทุน รูปแบบการประมวลผลด้วย Cloud สะท้อนให้เห็นชัดว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากรายจ่ายลงทุน (CAPEX) ขณะนี้ ได้เปลี่ยนเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ในลักษณะการจ่ายค่าบริการ (as-a-service) ใช้เท่าไหร่จ่ายเท่านั้น (pay-per-use) ช่วยให้ฟินเทคสามารถส่งมอบสินค้าและบริการให้แก่ลูกค้าได้ด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผลมากยิ่งขึ้น แม้สำหรับผู้ที่อยู่ในวงการมานานยังเห็นประโยชน์อย่างชัดเจน การพัฒนาแพลตฟอร์มเทคโนโลยีที่มากขึ้นบน Cloud นี้จะส่งผลต่อค่าใช้จ่ายที่ลดลงของรายจ่ายลงทุน (CAPEX) ทำให้สามารถลงทุนเพิ่มขึ้นได้ด้านนวัตกรรมและการปฎิวัติดิจิทัล (Digital Transformation)
ความท้าทายที่ได้กล่าวถึง
ในเวที Fintech Dynamics in Asia ได้เผยถึงความท้าทายที่ฟินเทคต้องเผชิญในขณะที่พยายามจะประสบความสำเร็จในประเทศไทย ซึ่งแนวคิดหนึ่งที่ระบุคือกรอบแนวคิดเรื่อง 3U ซึ่งนำเสนอโดย IDC Financial Insights เพื่อประเมินเสถียรภาพในการดำเนินธุรกิจของสตาร์ทอัพฟินเทคว่าจะสำเร็จหรือจะล้มเหลว โดยกรอบการทำงานของ IDC Financial Insights ที่กล่าวถึงคือ 1.Utility (ความมีประโยชน์) 2.Usability (ความง่ายในการใช้) 3.Ubiquity (ความสะดวกในการเข้าถึงบริการ)
กรณีดังกล่าวเป็นที่ถกเถียงกันในกลุ่มธุรกิจฟินเทค ซึ่งยอมรับว่าประสบปัญหาในการเข้าถึงทั้ง 3 U สำหรับนวัตกรรมร่วมกันระหว่างฟินเทคและสถาบันบริการทางการเงิน (FSIs) ตามที่ IDC รายงานนั้น โดยส่วนมากใช้เวลาประมาณ 1 ปี กว่าจะนำสู่ตลาด (GO-TO-MARKET) นอกจากนี้ทางออกสำหรับความท้าทายข้างต้นถูกยกมากล่าวถึงเช่นกัน เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเลือกบริการและเทคโนโลยีที่ใช่ เพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดจะนำมาสู่ปัญหามากมาย แทนที่จะเพียงตอบโจทย์กับความท้าทายต่าง ๆ ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเทคโนโลยีในการถูกสร้างมา
สิ่งจำเป็นอื่น ๆ ที่เห็นได้ชัดในสิ่งที่ผู้ให้บริการแบบดั้งเดิมกับธุรกิจ Fintech มองหามีดังนี้
ท้ายที่สุดนี้ Fintech Dynamics in Asia ได้เน้นย้ำว่าการค้นหาพาร์ทเนอร์ทางกลยุทธ์ที่ถูกต้องมีความคล้ายคลึงกับการค้นหาผู้ร่วมก่อตั้งหรือพนักงานหลักขององค์กร เรื่องสำคัญสำหรับธุรกิจฟินเทค ที่ควรคำนึงคือทุกคนจะต้องทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับพาร์ทเนอร์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีคอนเนคชั่นที่ดี การทำให้พาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีมั่นใจว่าสามารถเข้าใจสถานการณ์ต่างๆ พร้อมกันอย่างเท่าเทียมและทันท่วงที จะยิ่งช่วยยกระดับความร่วมมือ การพัฒนาโอกาส ประสิทธิผล และความสามารถที่จะตอบสนองลูกค้านำไปสู่การขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแน่นอน นอกจากนี้ พาร์ทเนอร์ทางเทคโนโลยีควรมีความยืดหยุ่น เช่น ในการให้คำปรึกษาและคำแนะนำในการสร้างหรือออกแบบโซลูชั่นที่เหมาะสมกับตลาดเป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ให้บริการเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐาน พาร์ทเนอร์ที่ดีควรให้แพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นสำหรับผู้พัฒนาในการออกแบบ ทดสอบ และให้งานบริการ ซึ่งช่วงท้ายของการเสวนานี้ ทางบริษัท ที.ซี.ซี.เทคโนโลยี จำกัด หรือ ทีซีซีเทค ได้กล่าวว่าไม่เพียงแต่จะสามารถให้การบริการศูนย์ข้อมูลในระดับพรีเมียมที่น่าเชื่อถือ บริษัทฯ ยังให้บริการ Public และ Private Cloud ด้วยระบบที่มีความปลอดภัยสูงเช่นกัน หรือสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ https://goo.gl/3azHEa