"คอนวูด" เตรียมแผนลุยตลาดเวียดนาม หลังประสบความสำเร็จในงาน VIETBUILD 2007 มหกรรมที่อยู่อาศัย -วัสดุก่อสร้าง และการออกแบบ เผยได้รับความสนใจจากกลุ่มสถาปนิกเวียดนามเป็นจำนวนมาก  พร้อมเร่งขยายการผลิตรองรับการส่งออก ย้ำ ในอนาคตมีโอกาสลงทุนเปิดโรงงานในเวียดนาม หลังประเมินตลาดมีศักยภาพที่จะเติบโตต่อเนื่อง

นายสุทธิพันธ์  วัชโรภาส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอนวูด จำกัด ในเครือบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนไม้ จำพวกไม้เชิงชาย ไม้ระแนง ไม้บัวพื้น และไม้ฝา ชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า ในปี 2551 บริษัทฯ เตรียมแผนที่จะทำตลาดต่างประเทศเต็มรูปแบบ โดยตั้งเป้าการส่งออกสินค้าไปยังต่างประเทศประมาณ 12 ล้านบาท ก่อนที่จะเพิ่มเป็น 150 ล้านบาทในปี 2554 หรือคิดเป็นสัดส่วน 13% ของยอดขายทั้งหมดของคอนวูด ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ มีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตไลน์ที่ 3 เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการขยายตัวตลาดส่งออกที่มีแนวโน้มจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตลาดที่เป็นเป้าหมายหลักในการทำตลาดครั้งนี้ ได้แก่ ประเทศเวียดนาม เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีกำลังซื้อสูงมาก และคาดว่าจะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะเห็นได้จากที่เวียดนามสามารถเข้าเป็นสมาชิกของอาเซียน มีการค้าและความร่วมมือกับสหภาพยุโรป รวมทั้งการได้ลงนามทวิภาคีสนธิสัญญาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ตลอดจนการเจรจาเพื่อเข้าเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้แน่ใจได้ว่า เวียดนามพร้อมที่จะก้าวสู่การค้าแบบเสรีนิยม และเชื่อว่าจะสามารถรองรับการเข้ามาลงทุนจากต่างประเทศได้อย่างเต็มที่

โดยล่าสุด คอนวูด ได้เข้าร่วมแสดงผลิตภัณฑ์ในงาน VIETBUILD 2007 งานมหกรรมเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย ที่เน้นวัสดุก่อสร้าง และการออกแบบเป็นหลัก  ซึ่งจัดขึ้นที่ Phu Tho Stadium  เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม โดยเป็นความร่วมมือของกระทรวงก่อสร้างและพรรคประชาชนจังหวัดโฮจิมินห์ และมีบริษัทเข้าร่วมออกบูธประมาณ 2,000 บูธ

สำหรับผลิตภัณฑ์ของคอนวูดที่ร่วมออกบูธในครั้งนี้ ได้แก่ ไม้เชิงชาย ไม้ผนังบังใบ ไม้ตกแต่งผนัง และไม้รั้ว ซึ่งบูธของคอนวูดได้รับความสนใจเป็นจำนวนมากจากนักวิชาการ สถาปนิก บุคคลที่อยู่ในวงการก่อสร้าง และประชาชนทั่วไป

"การไปร่วมออกบูธในงานนี้ นับเป็นนิมิตหมายที่ดีของบริษัทฯ เนื่องจากเป็นครั้งแรกที่ได้ไปร่วมงานกับประเทศเพื่อนบ้าน แถมยังสอดคล้องกับเป้าหมายของคอนวูดที่จะขยายตลาดเข้าไปในเวียดนามอยู่แล้ว จึงนับเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่ได้สร้างการรับรู้แบรนด์ของคอนวูดให้เป็นที่รู้จัก ซึ่งหลังจากที่ได้ออกบูธไปแล้วนั้น ก็มีบริษัทผู้แทนจำหน่ายวัสดุก่อสร้างในประเทศเวียดนามให้ความสนใจในผลิตภัณฑ์และต้องการเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนวูดเป็นจำนวนมาก" นายสุทธิพันธ์ กล่าว

นอกจากนี้ คอนวูดยังได้รับรางวัลบูธสวย ประทับใจ โดยคอนวูดมีแนวความคิดในการออกแบบให้บูธเป็นเสมือนบ้าน ที่มีมุมต่าง ๆ ของบ้านมาแสดงให้เห็นถึงการนำผลิตภัณฑ์คอนวูดไปใช้ทุกส่วนของบ้านได้จริง ซึ่งบูธที่ได้รับรางวัลมีจำนวนทั้งสิ้น 70 บูธ จากจำนวน 2,000 บูธ

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คอนวูด จำกัด กล่าวอีกว่า สไตล์บ้านของตลาดเวียดนาม จะเป็นแบบฝรั่งเศส ทำให้บริษัทฯ อาจจะต้องปรับในบางสายการผลิตให้เข้ากับความต้องการของตลาดดังกล่าว และหากตลาดเติบโตดี ในระยะยาวก็มีโอกาสที่จะลงทุนเปิดโรงงานผลิตที่เวียดนามด้วย

ในส่วนของกลยุทธ์ส่งเสริมการตลาดนั้น บริษัทฯ ยังคงมีเป้าหมายที่จะรุกสร้างแบรนด์สินค้าคอนวูดอย่างหนัก โดยเน้นให้ความสำคัญกับการสื่อสารเรื่องของมูลค่าของตัวผลิตภัณฑ์เป็นหลัก รวมถึงสร้างความน่าเชื่อถือขององค์กรควบคู่ไปด้วย พร้อมทั้งเน้นเสริมสร้างความรู้ทางด้านเทคนิคของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ให้กับบุคลากรทุกคน และพยายามปรับปรุงคุณภาพ รูปลักษณ์ ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้อยู่ตลอดเวลา ทั้งขนาด สี และรูปแบบการนำไปใช้งาน

สำหรับภาพรวมในปี 2550 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 750 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าปีที่ผ่านมาที่มียอดขาย 730 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2551 บริษัทฯ คาดว่าจะมีมูลค่ารวมทั้งปีอยู่ที่ 800 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีผู้แทนจำหน่ายประมาณ 250 ราย และมีช่องทางการจำหน่ายเน้น 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ จำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่าย 95% และโมเดิร์นเทรด ในรูปของโฮมเซ็นเตอร์ 5% โดยสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้บริษัท ได้แก่ ไม้เชิงชาย และไม้ระแนง

บริษัท คอนวูด จำกัด เป็นผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์วัสดุทดแทนไม้ชั้นนำของประเทศไทย ที่มีความแข็งแรงทนทาน และมีกระบวนการผลิตที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยได้รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานสากลการจัดการด้านคุณภาพ ISO 9001:2000 ตั้งแต่ปี 2548 และได้รับประกาศนียบัตรรับรองมาตรฐานการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม  ISO 14001 ปี 2549 และปี 2550 อยู่ระหว่างการดำเนินการยื่นขอ ISO 18000 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านความปลอดภัย