จากผลการศึกษาในระดับนานาชาติพบว่าองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคต่างล้วนมองเห็นผลประโยชน์มหาศาลในการนำเทคโนโลยี IoT มาใช้งานทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจและการสร้างสรรค์นวัตกรรม แต่ยังคงมีความกังวลใจในด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบ
อรูบ้า หนึ่งในบริษัทของฮิวเล็ตต์ แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ ได้เปิดเผยว่าภายในปี 2562 จะมีองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคมากถึง 86% ที่มีการใช้งาน IoT ภายในองค์กร อ้างอิงจากข้อมูลของรายงาน ‘The Internet of Things: Today and Tomorrow’ โดยองค์กรเหล่านี้จะนำ IoT ไปใช้งานเพื่อสร้างผลกำไรของธุรกิจเพิ่มขึ้นทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและการสร้างสรรค์นวัตกรรม ในภาคองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ ภาคอุตสาหกรรมการผลิต ภาคธุรกิจดูแลสุขภาพ, ภาคธุรกิจค้าปลีก และภาครัฐในการบริหารเมืองต่างๆ ทั่วโลก ผลการศึกษาของอรูบ้ายังได้เตือนด้วยว่าการเชื่อมต่ออุปกรณ์จำนวนมหาศาลเข้าสู่ระบบเครือข่ายไอทีของธุรกิจนั้นจะก่อให้เกิดความท้าทายใหม่ ๆ ทางด้านความมั่นคงปลอดภัยของระบบ ส่งผลให้เกิดช่องโหว่ทางด้านความมั่นคงปลอดภัยกับองค์กรส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคได้
งานวิจัยนี้ยังได้ระบุอีกด้วยว่า จากผู้ถูกสัมภาษณ์ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 1,150 คนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (ได้แก่ ออสเตรเลีย, จีน, อินเดีย, ญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และเกาหลีใต้) มีถึง 97% เมื่อถูกถามในเรื่องความเข้าใจเกี่ยวกับเทคโนโลยี IoT นั้นเป็นอย่างไร ผู้ถูกสัมภาษณ์จำนวนมากตอบว่า ยังไม่ทราบอย่างแน่ชัดว่านิยามของ IoT คืออะไร และ IoT จะมีประโยชน์อย่างไรต่อองค์กรของเขา
ใน eBook เล่มใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากอรูบ้าชื่อ ‘Making Sense of IT’ ของ คุณเควิน แอซตัน (Kevin Ashton) ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลทางด้านเทคโนโลยี ได้ให้นิยามเกี่ยวกับคำว่า ‘Internet of Things’ เอาไว้ดังนี้:
“Internet of Things หมายถึงอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีระบบเซนเซอร์ที่ถูกเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ตและประพฤติตนในวิถีทางของอินเทอร์เน็ตด้วยการเป็นระบบเปิด มีการเชื่อมต่อแบบมีวัตถุประสงค์เฉพาะเจาะจง (ad-hoc) แบ่งปันข้อมูลอย่างอิสระ และทำให้เกิดเป็นแอพพลิเคชันใหม่ ๆ ที่เราคาดไม่ถึงกันมาก่อน เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถทำความเข้าใจถึงโลกที่อยู่รอบ ๆ ตัวมันได้ และกลายเป็นระบบเครือข่ายประสาทใหม่ของมนุษยชาติ”
The Expectations Dividend: ผลประโยชน์ที่เหนือกว่าความคาดหมาย
เมื่อวิเคราะห์ถึงประโยชน์ของการนำ IoT มาใช้ คุณแอชตันค้นพบว่าประโยชน์ที่ได้รับจาก IoT จริง ๆ นั้นเกินกว่าความคาดหมายในทุก ๆ แง่มุม โดยในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคนี้ ‘ผลประโยชน์ที่เหนือกว่าความคาดหมาย’ ถูกเห็นได้ชัดในสองมุมมองของการชี้วัดทางด้านประสิทธิภาพธุรกิจอันได้แก่การทำกำไร และประสิทธิภาพในการดำเนินงาน
อย่างเช่น 35% ของผู้นำทางธุรกิจยืนยันว่ามีผลกำไรเติบโตขึ้นอย่างชัดเจนหลังจากนำ IoT มาใช้งาน โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 20 % ของผู้ที่เคยคาดการว่าจะมีผลกำไรเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากจากการลงทุนทางด้าน IoT ของตน (จากเดิมมีผู้คาดหวังแค่ 15%) ในทำนองเดียวกัน มีผู้บริหารจำนวน 39% คาดหวังว่ากลยุทธ์ทางด้าน IoT ของตนจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้อย่างมหาศาล แต่ผลลัพธ์ที่ได้นั้นก็แสดงให้เห็นว่าเกินกว่าครึ่งขององค์กรที่นำ IoT มาใช้งานในธุรกิจ (51%) พบว่าธุรกิจของพวกเขาได้รับผลตอบแทนอย่างชัดเจน
คุณคริส โคซุป (Chris Kozup) รองประธานฝ่ายการตลาดของอรูบ้าได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “ด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจจากการใช้งาน IoT ที่ได้รับเกินกว่าความคาดหมายนี้ ทำให้ไม่แปลกใจที่โลกธุรกิจจะมุ่งหน้าไปสู่การใช้งาน IoT อย่างแพร่หลายภายในปี พ.ศ. 2562 แต่ยังมีเหล่าผู้บริหารจำนวนมากที่ยังไม่แน่ใจว่าจะนำ IoT ไปปรับใช้งานในธุรกิจของพวกเขาได้อย่างไร องค์กรธุรกิจที่นำ IoT ไปใช้งานจนประสบความสำเร็จไปก่อนแล้วนั้นย่อมได้เปรียบโดยมีความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน”
การนำ IoT ไปใช้งานในระดับองค์กรทั่วโลก
งานวิจัยของอรูบ้าได้แสดงให้เห็นถึงการใช้งาน IoT ในหลากหลายระดับ ทั่วทั้งภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยภาคอุตสาหกรรม 5 กลุ่มในแนวตั้งดังต่อไปนี้คือเหล่าผู้นำทางด้านการนำ IoT ไปใช้งาน และสามารถสร้างผลประโยชน์ในเชิงธุรกิจที่สามารถจับต้องได้จากรูปแบบและวิธีการการนำไปใช้งานทีมีความเฉพาะเจาะจง
ภาคองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่ต่าง ๆ สามารถสร้างสถานที่ทำงานอัจฉริยะเพื่อเพิ่มประสิทธิผลและประสิทธิภาพในการทำงาน:
ภาคอุตสาหกรรมการผลิตสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในธุรกิจและสามารถติดตามการทำงานได้มากขึ้นด้วยระบบตรวจสอบและดูแลรักษาที่ใช้ IoT:
มากกว่า 6 ใน 10 (62%) ของผู้ตอบจากภาคอุตสาหกรรมการผลิตต่าง ๆ ได้ติดตั้งใช้งาน IoT แล้ว โดยใช้ IoT เพื่อตรวจสอบการทำงานและดูแลซ่อมบำรุงการทำงานอุปกรณ์พื้นฐานที่ทำงานที่จำเป็นในภาคอุตสาหกรรมนั้นถือเป็นกรณีการใช้งานที่ส่งผลกระทบในเชิงบวกสูงสุด และในวันนี้ การใช้งานกล้องวงจรปิดแบบ IP-based เพื่อการรักษาความปลอดภัยทางกายภาพภายในองค์กรภาคอุตสาหกรรมนี้ก็ยังคงอยู่ในระยะเริ่มต้น ด้วยจำนวนองค์กรเพียง 6% เท่านั้นที่เริ่มต้นใช้งานกล้องวงจรปิด อย่างไรก็ดีเมื่อถามถึงแผนการในอนาคตแล้ว การนำระบบกล้องวงจรปิดมาใช้งานได้รับคำตอบที่สูงขึ้นเป็น 5 เท่าจนมีจำนวนผู้ตอบรับถึง 32%
ภาคธุรกิจดูแลสุขภาพเริ่มใช้ IoT เพื่อปรับปรุงการติดตามสุขภาพผู้ป่วย, การลดค่าใช้จ่าย และการเร่งสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ:
ภาคธุรกิจค้าปลีกสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ดีขึ้น และเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้นได้ด้วยเทคโนโลยีระบุตำแหน่งภายในอาคาร:
ภาครัฐยังคงตามหลังในการนำ IoT ไปใช้ ยังติดขัดเพราะครอบครองเทคโนโลยีที่ล้าสมัยอยู่ แต่ได้ใช้ในการลดค่าใช้จ่ายได้สำเร็จ:
The Data Context and Security Challenge: ความท้าทายด้านข้อมูลแวดล้อมและความมั่นคงปลอดภัยของระบบ
นอกเหนือจากผลประโยชน์เชิงบวกที่ได้รับแล้วการศึกษาครั้งนี้ยังได้เปิดเผยถึงอุปสรรคจำนวนหนึ่งที่เหล่าผู้นำทางด้าน IT รู้สึกว่าเป็นตัวขัดขวางไม่ให้ IoT สร้างผลกระทบในเชิงบวกได้เท่าที่ควร องค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคนี้ได้ระบุว่าค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง (53%), ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา (52%) และความยากในการผสานระบบรวมกับเทคโนโลยีสมัยเก่า (47%) นั้นเป็นปัญหาหลักๆ ซึ่งเหล่าธุรกิจทั่วโลกนั้นต่างก็ให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน
อีกประเด็นที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ช่องโหว่ทางด้านความปลอดภัยนั้นถูกพบในการติดตั้งใช้งาน IoT จำนวนมากทั่วโลก ในการศึกษาครั้งนี้พบว่า 88% ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคนั้นเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับการถูกโจมตีทางช่องโหว่ด้านความปลอดภัยบนระบบที่เกี่ยวข้องกับ IoT อย่างน้อย 1 ครั้ง ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงที่สุดเมื่อเทียบกับทั้งโลก โดยเกินกว่าครึ่งของเหล่าผู้ถูกสัมภาษณ์ได้อธิบายว่าการโจมตีจากภายนอกนั้นเป็นอุปสรรคหลักในการนำกลยุทธ์ทางด้าน IoT มาใช้ และประเด็นนี้ก็ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีว่าการมีกลยุทธ์ด้านการเสริมความปลอดภัยให้กับระบบ IoT ที่ครอบคลุมทุกด้านบนระบบควบคุมการเข้าถึงเครือข่ายและการบริหารจัดการนโยบายการรักษาความปลอดภัยที่เข้มแข็งนั้น จะไม่เพียงแต่ช่วยปกป้ององค์กรเท่านั้นแต่ยังจะช่วยให้การรักษาความปลอดภัยนั้นง่ายขึ้นสำหรับฝ่าย IT ด้วย
คุณแอชตันได้อธิบายถึง IoT ในมุมของความสามารถในการบันทึกข้อมูลและนำข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่สำคัญของเหล่าองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค โดยองค์กรเกือบทั้งหมด (98%) ที่ได้นำ IoT ไปใช้งานจริงแล้วนั้นอ้างว่าสามารถทำการวิเคราะห์ข้อมูลเหล่านั้นได้ แต่ผู้ถูกสัมภาษณ์จำนวนเดียวกันนี้ก็ยอมรับด้วยว่าความท้าทายคือการสร้างคุณค่าใหม่ๆ จากข้อมูลเหล่านี้ขึ้นมาให้สำเร็จ โดยเกินกว่า 1 ใน 3 (35%) ของเหล่าองค์กรธุรกิจในเอเชียแปซิฟิกนั้นไม่ได้มีการสำรวจและวิเคราะห์ข้อมูลภายในระบบเครือข่ายขององค์กร ทำให้ขาดองค์ความรู้ที่อาจช่วยเสริมในการตัดสินใจเชิงธุรกิจให้แม่นยำได้มากขึ้น
คุณโคซุปได้ให้ความเห็นเอาไว้ว่า “ในขณะที่การติดตั้งระบบ IoT กำลังเติบโตขึ้นนี้ การเพิ่มขยายระบบ, ความซับซ้อน, วิธีการที่เหมาะสมในการรักษาความปลอดภัยเพื่อปกป้องระบบเครือข่ายและอุปกรณ์ และที่สำคัญที่สุดข้อมูลและองค์ความรู้ที่ได้รับมานั้นจะต้องก้าวตามให้ทันการติดตั้งระบบ IoT ด้วย ถ้าหากธุรกิจต่างๆ ไม่เริ่มก้าวถัดไปเพื่อให้สามารถมองเห็นและจำแนกสิ่งที่ IoT กำลังทำภายในสถานที่ทำงานได้ ธุรกิจเหล่านี้ก็กำลังมีความเสี่ยงที่จะเปิดให้มีการกระทำที่อาจเป็นอันตรายเกิดขึ้นได้ อรูบ้ากำลังช่วยให้เหล่าลูกค้าองค์กรสามารถประเมินความปลอดภัยในการติดตั้งใช้งาน IoT ภายในอาคารสถานที่ทำงาน และตรวจสอบเสาะหาภัยคุกคามแฝงที่อาจปรากฎอยู่ให้พบได้”
คุณแอชตันกล่าวสรุป “ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของมันเมื่อปี พ.ศ.2542 (ค.ศ.1999) Internet of Things นี้เป็นแนวคิดที่ถูกพูดถึงอย่างขำขัน, ถูกวิจารณ์ และถูกเข้าใจผิดมาโดยตลอด แต่ตอนนี้มันก็เป็นจริงขึ้นมาแล้ว ภายในเวลาเพียงไม่ถึง 2 ทศวรรษถัดมา เราก็อยู่ในโลกที่องค์กรหลายหมื่นแห่งกำลังลดค่าใช้จ่ายและสร้างรายได้หลายร้อยล้านดอลลาร์จาก Internet of Things ตั้งแต่การใช้รถยนต์ที่สามารถขับเคลื่อนได้ด้วยตัวเอง, สถานีรถไฟใต้ดินที่รับรู้ได้ว่ามีผู้โดยสารมาเยือน, อัลกอริธึมที่ตรวจสอบโรคระบาดร้ายแรงได้จากโทรศัพท์ และเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมายที่ไม่เคยคิดฝันว่าจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ในอนาคตจะยังมีสิ่งที่น่าทึ่งเกิดขึ้นอีกมากมาย การตัดสินใจที่สำคัญที่สุดของคุณในเวลานี้ก็คือคุณจะเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวเหล่านี้ได้อย่างไร”
Additional Resources
Research methodology: ระเบียบวิธีวิจัย
ผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจทางไอทีและธุรกิจจำนวนทั้งสิ้น 3,100 คนได้ถูกสัมภาษณ์ระหว่างเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมปี 2016 ผู้ถูกสัมภาษณ์เหล่านี้มาจากธุรกิจองค์กรที่มีพนักงานจำนวน 500 คนเป็นอย่างน้อย โดยมาจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนซึ่งคัดเลือกเฉพาะกลุ่มภาคอุตสาหกรรมการผลิต, ภาครัฐ, ธุรกิจค้าปลีก, ธุรกิจด้านสาธารณสุข, ภาคการศึกษา, ธุรกิจก่อสร้าง, ธุรกิจการเงิน และธุรกิจด้านไอที/เทคโนโลยี/โทรคมนาคม การสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นทั้งบนช่องทางออนไลน์และทางโทรศัพท์ด้วยการใช้กระบวนการในการคัดกรองหลายขั้นตอนเพื่อให้มั่นใจว่าจจะมีเพียงผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสให้เข้าร่วมในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ ผู้ถูกสัมภาษณ์นี้ถูกสัมภาษณ์ภายในสหราชอาณาจักร, อิตาลี, เยอรมนี, ฝรั่งเศส, เนเธอร์แลนด์, สเปน, สวีเดน, นอร์เวย์, ตุรกี, สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์, ซาอุดิอาระเบีย, สหรัฐอเมริกา, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, อินเดีย, บราซิล, เม็กซิโก, จีน และเกาหลีใต้
เกี่ยวกับอรูบ้าบริษัทหนึ่งในเครือฮิวเล็ตแพ็กการ์ด
อรูบ้าเป็นหนึ่งในเครือบริษัทฮิวเลตต์แพคการ์ด เอ็นเตอร์ไพรส์และเป็นผู้นำในการจัดหาโซลูชั่นระบบเครือข่ายที่ล้ำสมัยสำหรับองค์กรทุกขนาดทั่วโลก บริษัทเป็นผู้ผลิตโซลูชั่นด้านไอทีที่ช่วยเพิ่มพลังให้องค์กรในการให้บริการแก่ผู้ใช้รุ่นใหม่ที่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์พกพาผู้ซึ่งใช้ apps ต่าง ๆ ทางธุรกิจที่วางอยู่บนคลาวด์ในทุก ๆ ขั้นตอนของการดำเนินชีวิตทั้งในที่ทำงานและเรื่องส่วนตัว
เรียนรู้เพิ่มขึ้น เกี่ยวกับอรูบ้าได้ที่ http://www.arubanetworks.com ถ้าต้องการข้อมูลที่ล่าสุดตลอดเวลาสามารถติดตามโดยการ follow onTwitter และ Facebook สำหรับการพูดคุยทางเรื่องเทคโนโลยีล่าสุดเกี่ยวกับ mobility และผลิตภัณฑ์ของอรูบ้า เยี่ยมชม Airheads Social ที่ http://community.arubanetworks.com.