เนื้อหาวันที่ : 2016-12-27 09:30:05 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 885 views

1 ใน 4 ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความพร้อมสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิตอล

“ Leaders 2020 study” ผลการศึกษาล่าสุดโดย เอสเอพี เอสอี (NYSE: SAP) และ Oxford Economics พบว่า ปัจจุบัน เกือบ 1 ใน 4 ของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เป็นผู้นำด้านดิจิตอลอย่างแท้จริง ซึ่งตัวเลขดังกล่าวนับว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก ซึ่งอยู่ที่ 16 เปอร์เซ็นต์ โดยบริษัทที่มีผลการดำเนินงานระดับสูงเหล่านี้ มีการเติบโตของรายได้ที่สูงกว่า มีความร่วมมือจากพนักงานที่มากกว่า และมีวัฒนธรรมองค์กรที่ครอบคลุมมากกว่า

องค์กรที่มีประสิทธิภาพการทำงานสูงเหล่านี้ ล้วนมีผู้บริหารที่สื่อสารกับพนักงานทั่วทั้งองค์กรด้วยกลยุทธ์แบบดิจิตอล มีการพัฒนาการบริหารจัดการและพัฒนาทักษะของพนักงานให้ทันสมัย และปรับปรุงโครงสร้างขององค์กรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

นอกจากนี้ ผลการวิเคราะห์บริษัทในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากผลการศึกษา Leaders 2020 study ยังยืนยันถึงผลประโยชน์ของธุรกิจจากการมีความหลากหลายในองค์กร ซึ่งแสดงให้เห็นจากความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มผู้นำในการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิตอล และกลุ่มผู้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อความสำคัญของความหลากหลายในองค์กร ผู้นำด้านดิจิตอลทั่วโลกและผู้เข้าร่วมการสอบถามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ล้วนเห็นว่าความหลากหลายในองค์กรมีผลกระทบด้านบวกต่อวัฒนธรรมภายในองค์กร (66 เปอร์เซ็นต์ และ 62 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ) แต่มีเพียงกลุ่มผู้นำด้านดิจิตอลเท่านั้นที่เห็นผลประโยชน์ในด้านการเงิน (37 เปอร์เซ็นต์ ต่อ 25 เปอร์เซ็นต์)

บริษัทต่างๆในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เริ่มมีความหลากหลายในองค์กรมากขึ้นในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดย 3 ใน 4 ของผู้เข้าร่วมการสำรวจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มองเห็นการพัฒนาด้านความหลากหลายในองค์กรที่เพิ่มขึ้นภายในองค์กรของตนเอง และ 42 เปอร์เซ็นต์ มองเห็นการเพิ่มขึ้นของผู้นำจากกรรมการบริหาร และจากผู้บริหารระดับอาวุโส เปรียบเทียบกับ 67 เปอร์เซ็นต์ และ 34 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลก อย่างไรก็ตาม มีสัดส่วนน้อยกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่กล่าวว่า บริษัทของพวกเขามีการจัดตั้งโปรแกรมส่งเสริมความหลากหลายในองค์กรขึ้นแล้ว โดยสามารถขยายโปรแกรมดังกล่าวเข้าไปได้อีกหลายภาคส่วน โดยเฉพาะในหมู่ผู้บริหารอาวุโส และระดับคณะกรรมการบริหาร

นอกจากนี้ ผลการศึกษา Leaders 2020 study ยังพบว่า มีเพียง 61 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับ 55 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลก) ที่เริ่มเกิดการตัดสินใจทางธุรกิจต่างๆโดยใช้ดาต้าเป็นตัวขับเคลื่อน อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าแปลกใจว่ามีเพียง 62 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (เทียบกับ 59 เปอร์เซ็นต์ ทั่วโลก) มีความรู้สึกว่าพนักงานในองค์กรของตนนั้น เพียบพร้อมด้วยทักษะที่จำเป็นในการก้าวให้ทันตามเทคโนโลยีดิจิตอลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน

นายสก๊อต รัสเซล ประธานและกรรมการผู้จัดการของเอสเอพี ตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า “กลุ่มแรงงานที่มีความหลากหลายนั้นสร้างเสริมให้เกิดไอเดียที่เป็นนวัตกรรมใหม่ที่มีความแข็งแกร่ง และในทางกลับกัน ยังแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งหลายๆอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้จากความหลากหลายในองค์กรเท่านั้น นับเป็นความบังเอิญเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ที่การใช้ประโยชน์จากดาต้าเพื่อการตัดสินใจทางธุรกิจ และการรักษาความหลากหลายของแรงงานในองค์กร จะเกิดขึ้นพร้อมกันในองค์กรที่มีประสิทธิภาพการดำเนินงานในระดับสูง”

จากผลสำรวจ Leaders 2020 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งถูกเผย ณ งานประชุม SuccessConnect 2016 ที่จัดขึ้นโดย SAP SuccessFactors เพื่อกลุ่มผู้บริหารสาย HR และ C-suite ในสิงคโปร์นั้น แสดงให้เห็นว่า การเป็นผู้นำด้านดิจิตอลนั้น มีข้อดีดังต่อไปนี้ 

  • สมรรถภาพด้านการเงินแข็งเกร่งขึ้น: 76 เปอร์เซ็นต์ ของผู้บริหารที่ได้รับการจัดประเภทว่าเป็นผู้นำด้านดิจิตอลนั้น มีรายได้และการเติบโตของผลกำไรที่แข็งแกร่ง คิดเป็น 60 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • พนักงานมีความพึงพอใจและมีส่วนร่วมมากขึ้น: การเป็นผู้นำด้านดิจิตอลที่มีประสิทธิภาพนั้น ไม่เพียงแต่สามารถช่วยขับเคลื่อนได้มากกว่าสมรรถภาพด้านการเงินได้อย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีด้วยเช่นกัน โดยพบว่า 87 เปอร์เซ็นต์ ของผู้นำด้านดิจิตอลมีพนักงานที่พึงพอใจมากขึ้น เมื่อเทียบกับสัดส่วนเพียง 51 เปอร์เซ็นต์ของผู้เข้าร่วมการสำรวจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ 75 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำด้านดิจิตอลยังมีจำนวนพนักงานที่พึงพอใจจะทำงานกับองค์กรอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะได้รับข้อเสนอจากบริษัทอื่นก็ตาม โดยคิดเป็น 45 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
  • กลยุทธ์การว่าจ้างที่เติบโตมากขึ้น: ผู้นำด้านดิจิตอลนั้นมีแนวโน้มที่จะลงทุนในด้านการว่าจ้างพนักงานมากกว่า และมีกลยุทธ์การว่าจ้างงาน การพัฒนาศักยภาพพนักงาน และการรักษาพนักงานในขั้นที่สูงกว่า ยกตัวอย่างเช่น 56 เปอร์เซ็นต์ของผู้นำด้านดิจิตอล จะแต่งตั้งพนักงานในองค์กรเข้าไปทำตำแหน่งที่ต้องการคน มากกว่าจะว่าจ้างบุคลากรจากภายนอก โดยคิดเป็น 33 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารทั้งหมดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ผลการศึกษาดังกล่าวยังพบว่า คนยุคมิลเลนเนียมนั้นสามารถก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้นำในองค์กรได้เร็วขึ้น โดย 22 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริหารจากผลการศึกษา Leaders 2020 study ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ล้วนเป็นคนยุคมิลเลนเนียม เปรียบเทียบกับสัดส่วน 17 เปอร์เซ็นต์จากทั่วโลก อย่างไรก็ตาม แม้ว่าสัดส่วนของผู้บริหารรุ่นใหม่ในภูมิภาคจะเพิ่มสูงขึ้น แต่มีสัดส่วนผู้บริหารในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพียง 45 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ที่มองว่าผู้นำองค์กรควรมีการทำงานร่วมกับพนักงานเพื่อพัฒนาอาชีพของพวกเขาให้สูงขึ้น ซึ่งถือเป็นขั้นสำคัญในการฝึกฝนพนักงานในยุคมิลเลนเนียม ผู้บริหารรุ่นใหม่เหล่านี้ กลับให้ความสำคัญกับความหลากหลายในองค์กรในแง่ของผลประโยชน์ต่างๆ ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นจากบริษัทที่ให้คุณค่ากับความหลากหลายในองค์กร และใช้เวลาในการสร้างสิ่งนี้ให้เกิดขึ้นจริง

“จากรายงานของ PwC หัวข้อ “Millennials at Work: Reshaping the Workplace” คนยุคมิลเลนเนียมจะมีสัดส่วนคิดเป็น 50 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานทั่วโลกภายในปี 2020[1] ดังนั้น การเริ่มฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารรุ่นใหม่น่าจะเป็นใบเบิกทางที่ดีสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิตอล ตราบใดที่ประสบการณ์การทำงานของคนรุ่นเก่าไม่ได้ถูกละเลยไปด้วย การดำเนินงานอย่างสมดุลนี้ ต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างคนรุ่นเก่าและใหม่ ความหลากหลายของคนแต่ละยุคจึงมีความสำคัญไม่ต่างจากความหลากหลายด้านอื่นๆในองค์กร ทั้งคนยุเบบี้ บูมเมอร์, เจนเอ็กซ์, และคนยุคมิลเลนเนียม ล้วนนำมาซึ่งมุมมองที่แตกต่างกันในการทำงาน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาพลังและความคิดสร้างสรรค์ภายในองค์กรให้คงอยู่ ความเชื่อของเราในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับคนยุคมิลเลนเนียมนั้น ส่งผลให้เห็นในการนำบุคลากรที่อยู่ในเจนเนอเรชั่นที่แตกต่างกันทั้งหมด 5 เจนเนอเรชั่น มาทำงานร่วมกันที่เอสเอพี เพื่อช่วยให้ลูกค้าทุกท่านดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น” นายสก๊อต รัสเซล กล่าวเสริม

“ก้าวการเปลี่ยนแปลงของระบบเศรษฐกิจดิจิตอลในปัจจุบัน ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่ช้าลงแต่อย่างใด ทั้งนี้ องค์กรที่ไม่มีการอัพเกรดวิธีการทำงานสู่การเป็นผู้นำด้าดิจิตอลนั้น ต้องพบเจอกับความเสี่ยงที่ก้าวไม่ทันคู่แข่ง เทคโนโลยียังคงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างการเติบโต สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างโอกาสในการเปลี่ยนโฉมธุรกิจ และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันให้กับบริษัททุกขนาด” นายสก๊อต รัสเซล กล่าวปิดท้าย

ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในภาวะธุรกิจดิจิตอลที่มีความหวัง แต่ผู้นำของบริษัทต่างๆไท่ควรหยุดการเติบโตไว้เพียงเท่านี้ ผลการสำรวจจาก Leaders 2020 study พบว่า บริษัทต่างๆในภูมิภาคนี้ยังไม่มีการทุ่มเทด้านทรัพยากรที่มากพอในการพัฒนาผู้นำในอนาคต รวมถึงทักษะของพนักงาน และการมีส่วนร่วมของพนักงาน นอกจากนี้ ผลสำรวจดังกล่าว ยังเผยถึงส่วนที่จำเป็นซึ่งบริษัทต่างๆสามารถพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำให้กับพนักงานของตน รวมถึงพัฒนาสมรรถภาพของธุรกิจได้ ดังต่อไปนี้ 

  • สื่อสารวิสัยทัศน์ด้านดิจิตอลให้คนในองค์กรได้รับรู้ในทุกระดับ การแบ่งปันข้อมูลด้านทิศทางการดำเนินงานแบบดิจิตอลให้ทุกคนในองค์กรรับทราบ คือหนึ่งในคุณสมบัติของผู้นำที่ดี
  • อัพเดททักษะที่จำเป็นสำหรับผู้บริหารและพนักงานอย่างต่อเนื่อง เช่น ความจำเป็นในการปรับใช้ทักษะด้านดิจิตอลมีความจำเป็นอย่างมากในยุคเศรษฐกิจดิจิตอล
  • ลดระดับขั้นขององค์กรให้ต่ำลง ลดความติดขัดด้านขั้นตอนทางราชการ เพื่อการทำงานที่รวดเร็วขึ้น
  • เพิ่มความหลากหลายในองค์กร ใช้ประโยชน์จากความหลากหลายในองค์กรสู่การสร้างความสำเร็จในเวทีเศรษฐกิจระดับโลก
  • ฟังความคิดเห็นจากผู้บริหารรุ่นใหม่ เนื่องจากพวกเขาเป็นแรงงานหลักของอนาคต คำแนะนำของพวกเขาจะมีความสำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิตอล 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการศึกษา และข้อแนะนำสู่การเป็นผู้นำด้านดิจิตอล คลิกที่นี่

 

[1] https://www.pwc.com/m1/en/services/consulting/documents/millennials-at-work.pdf