เนื้อหาวันที่ : 2016-09-07 17:15:50 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1537 views

บี.กริม เพาเวอร์ มั่นใจโตต่อเนื่อง เผยทิศทางแผนลงทุน 5 ปี เดินหน้าสานต่อพัฒนาโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ

บี.กริม เพาเวอร์ เผยทิศทางการบริหารงานในครึ่งปีหลังปี 2559 ปลื้มผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกโต 150% หากเทียบกับปีที่ผ่านมา มั่นใจศักยภาพความพร้อมเทคโนโลยี บุคลากรของบริษัทฯ สามารถรองรับการเติบโตของความต้องการใช้ไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรมอย่างครบวงจร คาดรายได้ครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ พร้อมทั้ง เผยทิศทางแผนการลงทุน 5 ปี เดินหน้าสานต่อพัฒนาโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศด้วยเงินลงทุน 5.9 หมื่นล้านบาท

นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี2559 บริษัทฯ มีรายได้ประมาณ 13,400 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกของปี 2558 ประมาณ 21% และมีกำไรสุทธิประมาณ 1,800 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 150%โดยปัจจัยหลักมาจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงไฟฟ้าใหม่ 4 โรง คือ โรงไฟฟ้า B1P1 ที่เริ่มดำเนินการในเดือนเมษายน 2558 โรงไฟฟ้า ABP4 เริ่มดำเนินการในเดือนพฤศจิกายน 2558 โรงไฟฟ้า BIP2 เริ่มดำเนินการในเดือนมกราคม 2559 และ โรงไฟฟ้า ABP5 ที่เริ่มดำเนินการในเดือนมิถุนายน 2559 ที่ผ่านมา
"ผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ มาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.ความต้องการใช้ไฟฟ้าในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้ลดลงมากอย่างที่คาดการณ์ไว้ 2. ประสิทธิภาพของการบริหารจัดการ ด้านเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าของบริษัทฯ ด้วยการใช้โรงไฟฟ้าใหม่ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยกว่าเดิมมาผลิตไฟฟ้าแทนโรงไฟฟ้าเดิมที่มีอัตราการใช้ เชื้อเพลิงสูง เป็นการ Optimization Program เพื่อประหยัดการใช้เชื้อเพลิงสูงสุด และ ปัจจัยสุดท้าย คือ การควบคุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ความสามารถในการต่อรองราคาอะไหล่จากการซื้อด้วยปริมาณมาก ทำให้บริษัทฯ สามารถประหยัดงบประมาณได้ถึงกว่า 100 ล้านบาท ฯลฯ" นางปรียนาถ กล่าว
สำหรับ แผนการดำเนินงานของบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ ในช่วง 2 ปีข้างหน้า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าสานต่อการพัฒนา โรงไฟฟ้าตามที่วางไว้ โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 5 โครงการด้วยกัน แบ่งเป็น โรงไฟฟ้าบ่อวิน ซึ่งคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2559 โรงไฟฟ้า ABPR3, ABPR4, ABPR5 คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2561 และโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ ที่ประเทศลาวอีก 1 โครงการ คือ โรงไฟฟ้าเซน้ำน้อย-เซกระตำ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2560 หากการก่อสร้างแล้วเสร็จตามที่วางแผนไว้ บริษัทฯ จะมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,626 เมกะวัตต์ ในปี 2559 และ 1,646 เมกะวัตต์ ในปี 2560 และ 2,060 เมกะวัตต์ ในปี 2561 โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนรวมใน 5 โครงการนี้ประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยเงินทุนส่วนใหญ่มาจากเงินกู้ธนาคารในรูปแบบของเงินกู้โครงการ (Project Finance) ซึ่งบริษัทฯ ได้ลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคารที่เกี่ยวข้องแล้วทุกโครงการ
นางปรียนาถ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯ คาดว่าภาพรวมของรายได้และกำไรจากการดำเนินงานครึ่งปีหลัง ปี 2559 จะเป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ หากไม่มีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้มากระทบ ทั้งนี้จากการประเมินความต้องการใช้ไฟฟ้าของนิคมอุตสาหกรรมยังคงมีความต้อง การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะลดลงจากช่วงครึ่งปีแรกของปี 2559 เล็กน้อยอันเป็นผลมาจากภาพรวมของภาวะเศรษฐกิจโลก การดำเนินงานของโรงไฟฟ้าอมตะ บี.กริม เพาเวอร์ 4 และ 5 ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม (Co-Generation) และเป็นโรงไฟฟ้าใหม่ของบริษัทฯ ที่มีมูลค่าการลงทุนถึง 11,000 ล้านบาท นับเป็นโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับบริษัทฯ ในการรองรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มลูกค้าในนิคมอุตสาหกรรม อมตะนครเป็นอย่างดี โดยกลุ่มลูกค้าหลักของโรงไฟฟ้าอมตะบี.กริม เพาเวอร์ 4 และ 5 คือ กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
นางปรียนาถ เผยทิศทางการลงทุนในอีก 5 ปีข้างหน้า (พ.ศ.2559-2563) ว่าจะสานต่อพัฒนาโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศต่อเนื่องอีกหลายโครงการให้เพิ่มขึ้นเป็น 2,383 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่สิ้นปีนี้มีอยู่ 1,626 เมกะวัตต์ หรือเติบโตขึ้น 46.5% จากปัจจุบัน ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 59,000 ล้านบาท โดยจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน และการลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้น เช่น เวียดนาม ลาว เมียนมา กัมพูชา อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ โดยจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานทดแทน ที่มีอยู่เดิม 7% ให้เป็น 24-30% โดยสนใจลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พลังลม โซลาร์รูฟ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ และชีวมวล เป็นต้น 

ส่วนประเด็นของการนำบริษัทฯ เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น บริษัทฯ ได้เลื่อนแผนจากเดิมปลายปีนี้เป็นในต้นปี 2560 ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับที่ปรึกษาทางการเงินทั้งในและต่างประเทศ โดยจะขายหุ้นเพิ่มทุนใหม่ให้ประชาชนทั่วไป (IPO) ประมาณ 30% ของทุนจดทะเบียน โดยเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งจะใช้คืนหนี้เงินกู้บางส่วนและนำไปใช้ขยายกิจการโรงไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศตามแผนการดำเนินงานต่อไป