บริษัท สยามอุตสาหกรรมเครื่องเหล็ก (1981) จำกัด หรือ สยามฮาร์ดแวร์ ประกาศความร่วมมืออย่างเป็นทางการกับ บริษัท มารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่น ในการนำเข้าอุปกรณ์ทาสีระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อแบรนด์ Maru-T (มารุ-ที) เจาะตลาดกลุ่มช่างทาสีชำนาญการ ดีไซเนอร์ และเจ้าของบ้านที่มีความใส่ใจในรายละเอียด
สำหรับแบรนด์มารุ-ที นั้นมีประวัติยาวนานกว่า 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น เป็นแบรนด์ที่ได้รับการยอมรับจากกลุ่มช่างทาสีมืออาชีพ ในด้านคุณภาพ มาตรฐานการผลิต และความหลากหลายของสินค้าที่มีให้เลือกใช้เหมาะกับงานที่แตกต่างกัน รวมถึงนวัตกรรมที่มีการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อผลลัพธ์ในการทาสีที่ไร้ที่ติ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่แบรนด์มารุ-ทีจะออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดยสยามฮาร์ดแวร์ได้รับความไว้วางใจในการขายและการตลาดในประเทศไทย เพื่อให้มารุ-ที เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาดนี้
นางสาวพิมพิดา อัฉริยะศิลป์ (ที่ 2 จากซ้าย) ผู้บริหารฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท สยามฮาร์ดแวร์ กล่าวว่า “ในตลาดของสีทาอาคารนั้น เราจะเห็นได้ว่าในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาคุณภาพของสีอย่างเห็นได้ชัดมีตัวเลือกให้เลือกหลากหลายและผู้ผลิตเองก็มุ่งมั่นในการสรรหานวัตกรรมใหม่ ๆ มาให้เห็นเรื่อย ๆ แต่ไม่ใช่กับอุปกรณ์การทาสี ซึ่งในเวลาหลายปีที่ผ่านมา เราไม่ได้เห็นการพัฒนาของอุปกรณ์ทาสีเลย ลูกกลิ้งหรือแปรงก็ยังคงใช้กันแบบเดิม ๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับสีรุ่นใหม่ ๆ ที่ถูกพัฒนาออกมา เรามองว่าควรมีอุปกรณ์ทาสีที่มีนวัตกรรมที่เทียบเท่า รองรับสีทาอาคารรูปแบบใหม่ ๆ และสร้างผลลัพธ์ที่ละเอียดกว่าการใช้อุปกรณ์แบบเดิม ๆ เพื่อตอบโจทย์ ผู้ใช้งาน เจ้าของบ้าน และสถาปนิกที่ให้ความสำคัญกับรายละเอียด”
“ทั้งสยามฮาร์ดแวร์และมารุ-ที โอสึกะเอง ต่างก็เป็นธุรกิจครอบครัวที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น มารุ-ที โอสึกะเองมีประวัติกว่า 100 ปีที่ประเทศญี่ปุ่น ส่วนเราเองก็เป็นผู้ผลิตที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคมาตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ในฐานะผู้ผลิต เรามีจุดยืนร่วมกันในด้านความใส่ใจในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เชื่อว่าทางมารุ-ที โอสึกะเองก็มั่นใจในมาตรฐานของเราและศักยภาพของตลาดประเทศไทย จึงได้เลือกสยามฮาร์ดแวร์มาเป็นคู่ค้า ดูแลการจัดจำหน่ายแบรนด์มารุ-ที นอกประเทศญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก”
นายพรเทพ อัฉริยะศิลป์ ประธานบริษัทสยามฮาร์ดแวร์ (ซ้าย) นายชินนิชิโร่ วากิ (ขวา) ประธานมารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่น
นายพรเทพ อัฉริยะศิลป์ ประธานบริษัทสยามฮาร์ดแวร์ กล่าวว่า “สยามฮาร์ดแวร์ เป็นผู้ผลิตที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 50 ปีในประเทศไทย โดยให้บริการรับจ้างผลิตสินค้าประเภทเครื่องเหล็ก รวมทั้งผลิตสินค้าสำเร็จรูปภายใต้แบรนด์เราเอง ซึ่งที่ผ่านมาสยามฮาร์ดแวร์ให้ความสำคัญในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพและการรักษามาตรฐานในการผลิตและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคตลอดมา ส่วนความร่วมมือระหว่างธุรกิจในครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่สยามฮาร์ดแวร์ได้ร่วมมือกับแบรนด์ผู้ผลิตอื่น เพื่อขยายตลาดไปสู่กลุ่มพรีเมี่ยม โดยแบรนด์มารุ-ทีเอง มีประวัติมากว่าร้อยปี มีความเชี่ยวชาญและเป็นที่เชื่อถือในด้านคุณภาพในประเทศญี่ปุ่น เรารู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจในความร่วมมือครั้งนี้”
ส่วนทางด้าน นายชินนิชิโร่ วากิ ประธานมารุ-ที โอสึกะ คอร์เปอร์เรชั่น กล่าวว่า “ประเทศไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพอย่างมาก จากตัวเลขการเติบโตของตลาดก่อสร้าง อาคารบ้านเรือนต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมาเป็นไปอย่างก้าวกระโดด และยังมีแนวโน้มเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ เหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่สนับสนุน ให้เกิดความต้องการอุปกรณ์ทาสีระดับพรีเมี่ยม อีกทั้งยังไม่มีใครนำเสนอผลิตภัณฑ์ประเภทนี้สู่ตลาดมาก่อน จากประสบการณ์การเป็นผู้ผลิตมากว่าหนึ่งร้อยปี เรามั่นใจว่าผู้ใช้งานในกลุ่มมืออาชีพจะพอใจในคุณภาพของสินค้าเราอย่างแน่นอน เราจึงมีความยินดีเป็นอย่างมากในความร่วมมือกับ สยามฮาร์ดแวร์ คู่ค้าที่มีประสบการณ์และเป็นผู้นำในตลาดประเทศไทย ในการแนะนำแบรนด์มารุ-ทีให้กับคนไทย”
เบื้องต้นได้มีการลงทุนไปเป็นจำนวน 10 ล้านบาท โดยในช่วงแรกจะให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่จดจำแก่ผู้ใช้ รวมไปถึงการให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ในด้านของการใช้อุปกรณ์ทาสีที่มีคุณภาพแตกต่างจากของทั่วไปในท้องตลาด
สินค้าที่จะนำเข้ามาจำหน่ายในช่วงแรกได้แก่ ลูกกลิ้งทาสี รุ่นไมโครไฟเบอร์ ขนาด 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, ลูกกลิ้งทาสี รุ่นลินท์ ฟรี ขนาด 7 นิ้ว และ 9 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, ลูกกลิ้งทาสี รุ่นลอง แฮร์ ขนาด 7 นิ้ว แบบพร้อมด้ามและแบบอะไหล่เสริม, แปรงโทจิ ซึ่งเป็นแปรงทาสีแบบญี่ปุ่นขนาด 30 มม. 40 มม. 50 มม. และ 60 มม., เกรียงขูดสี และด้ามต่อลูกกลิ้งทาสี โดยผลิตภัณฑ์ทั้งหมดจะเริ่มวางจำหน่ายช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ร้านค้าสีทาอาคารชั้นนำและ SCG โฮมมาร์ททั่วกรุงเทพฯและจะขยายไปทั่วประเทศในอนาคต ราคาสินค้าเริ่มต้นที่ 90 บาท