เนื้อหาวันที่ : 2016-07-26 14:28:26 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 703 views

ดับบลิวเอชเอ จับมือไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี ตั้งบริษัทร่วมทุน ผุดศูนย์โลจิสติกส์ยักษ์สองแห่งในไทย

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ให้เช่า ที่ดินอุตสาหกรรม และนิคมอุตสาหกรรมแบบครบวงจรชั้นนำในประเทศไทย ประกาศจัดตั้งบริษัทร่วมทุนกับบริษัท ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี จากประเทศญี่ปุ่น สร้างศูนย์โลจิสติกส์ขนาดใหญ่สองแห่งในแหลมฉบังและบางนา-ตราด    โดยดับบลิวเอชเอและไดวะ เฮาส์ อินดัสทรีจะถือหุ้นในบริษัทดับบลิวเอชเอ ไดวะ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ในสัดส่วนร้อยละ 51 และ 49 ตามลำดับ และวางแผนจัดตั้งด้วยทุนจดทะเบียน 850 ล้านบาท เพื่อลงทุนในโครงการทั้งสองมูลค่ารวม 2,351.5 ล้านบาท

โครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง (LCB) สร้างขึ้นในคอนเซ็ปท์แบบ Built-to-Suit ตั้งอยู่ที่แหลมฉบัง บนที่ดินขนาด 49 ไร่ (78,400 ตารางเมตร) โดยมีพื้นที่ให้เช่ารวม 45,500 ตารางเมตร  ประกอบด้วยพื้นที่เฟสแรกขนาด 22,500 ตารางเมตร เน้นด้านการส่งออก และได้มีการส่งมอบพื้นที่ให้แก่บริษัทฮอนด้า
โลจิสติกส์ บริษัทลูกของฮอนด้าไปเมื่อไตรมาสสามของปีที่ผ่านมา ส่วนเฟสที่สองจะมีพื้นที่ราว 23,000 ตารางเมตร คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในช่วงสิ้นปีนี้ และแล้วเสร็จสมบูรณ์ในราวกลางปี 2560 ตามแผนขยายธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของฮอนด้า

ส่วนโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร (Chonlaharn) ตั้งอยู่บนพื้นที่บางนา-ตราด มีพื้นที่รวม 77 ไร่ (123,200 ตารางเมตร) และจะมีพื้นที่ให้เช่าราว 74,000 ตารางเมตร โดยจะสร้างในลักษณะ Warehouse Farm เพื่อรองรับความต้องการคลังสินค้าภายในประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ประกอบด้วย 4 อาคาร เพื่อรองรับผู้เช่ารายต่างๆ อาทิ กลุ่มเซ็นทรัล และฮิตาชิ ทรานสปอร์ต

“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ลงทุนกับบริษัท ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นอย่าง จัดตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่นี้ขึ้นมา” นางสาวจรีพร จารุกรสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าว “เราจะได้รับประโยชน์จากความเชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ของทั้งสองบริษัทโดยอาศัยความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มญี่ปุ่น และเครือข่ายทางธุรกิจของเราทั้งหมด นอกจากนี้ เรายังวางแผนที่จะขยายธุรกิจของเราไปยังประเทศเพื่อนบ้านในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน เช่น อินโดนีเซียและเวียดนาม อีกด้วย”

“การร่วมทุนกับดับบลิวเอชเอถือเป็นการประสานพลังอันแข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกัน” มร. ทัตสุยะ อูระคาวะ กรรมการผู้อำนวยการบริษัท ไดวะ เฮาส์ อินดัสทรี จำกัด กล่าว “เช่นเดียวกับดับบลิวเอชเอในประเทศไทย นอกจากจะเติบโตขึ้นมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ด้านพาณิชย์กรรมและที่พักอาศัยแล้ว บริษัทของเรายังเป็นผู้พัฒนาคลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้าแบบ Built-to-Suit ในประเทศญี่ปุ่น จนกลายมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อโลจิสติกส์หลักของเรา ซึ่งเราจะแบ่งปันความรู้ความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างและการสร้างเครือข่ายลูกค้าของไดวะ เฮาส์ อินดัสทรีกับดับบลิวเอชเอเพื่อพัฒนาต่อไป โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อใช้จุดแข็งของเราในการดึงดูดลูกค้าจากญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น”

ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารโครงการ ดับบลิวเอชเอจะรับผิดชอบการก่อสร้างเฟสที่เหลืออยู่ของโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง และโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร ซึ่งถือเป็นสองโครงการแรกของบริษัทร่วมทุนใหม่ รวมถึงเป็นผู้บริหารทรัพย์สินของบริษัท รับผิดชอบด้านการตลาดและการจัดหาผู้เช่าพื้นที่รายใหม่ ทั้งบริษัทยักษ์ใหญ่ของไทยและบริษัทข้ามชาติ รวมทั้งบริษัทที่ให้บริการด้านโลจิสติกส์ (3 PLs) อีกด้วย

ในช่วงปี 2561 – 2562 บริษัทคาดว่าจะนำโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ แหลมฉบัง และโครงการดับบลิวเอชเอ เมกะ โลจิสติกส์ เซ็นเตอร์ ชลหารพิจิตร ขายเข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุน ในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าดับบลิวเอชเอ พรีเมี่ยม โกรท (WHART) ซึ่งเริ่มเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 2557

ผู้ร่วมทุนทั้งสองบริษัทจะได้ประโยชน์จากกันและกัน ทั้งประสบการณ์และความรู้ด้านธุรกิจโลจิสติกส์มากมาย     โดยดับบลิวเอชเอมีพื้นที่คลังสินค้า ศูนย์กระจายสินค้าและโรงงานให้เช่าราว 2 ล้านตารางเมตรในประเทศไทย ทั้งที่เป็นแบบ Built-to-Suit (BTS) คลังสินค้าแบบ Warehouse Farm ที่มีผู้เช่าหลายราย รวมไปถึงโรงงานสำเร็จรูป (Ready-Built Factories – RBF) และคลังสินค้าสำเร็จรูป (RBW) นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนที่จะพัฒนาพื้นที่เช่ารวมกว่า 3 ล้านตารางเมตรภายใน 3 – 4 ปีข้างหน้าด้วย

ในประเทศญี่ปุ่น ไดวะ มีพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ประเภทโลจิสติกส์ทั้งสิ้น 222 แห่ง รวมพื้นที่ให้เช่าราว 6.4 ล้านตารางเมตร ประกอบไปด้วยแบบ Built-to-Suit สำหรับผู้เช่ารายเดียว และคลังสินค้าแบบมีผู้เช่าหลายราย ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการคลังสินค้าแบบระยะสั้นได้ในทันที