เนื้อหาวันที่ : 2016-07-18 08:42:11 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1476 views

รมว.วท.เยี่ยมชม TMEC พร้อมมอบนโยบายพลักดันสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมรับ Thailand 4.0

ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และคณะผู้บริหาร เข้าเยี่ยมชมผลการดำเนินงานวิจัยและพัฒนาศูนย์เทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สวทช.) โดยได้เยี่ยมผลงานที่โดดเด่นทางด้านการเกษตร การแพทย์ พลังงาน  IoT ห้อง CleanRoom และมอบนโยบายพลักดันสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีไมโครอิเล็กทรอนิกส์เพื่อ รองรับ Thailand 4.0 พร้อมตอกย้ำขีดความสามารถของ TMEC เป็นหนึ่งกลไกที่ช่วยขับเคลื่อนและยกระดับนวัตกรรมไทย และนำไปสู่การเชื่อมโยงสู่ภายนอก

ดร.พิเชฐ กล่าวว่า “มีความยินดีที่ได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมผลการดำเนินงานของศูนย์เทคโนโลยีไมโคร อิเล็กทรอนิกส์ (TMEC) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตและออก แบบวงจรรวมของประเทศ รวมทั้งสร้างกำลังคนด้านไมโครอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทย  ซึ่งในขณะนี้มีพร้อมที่จะนำ เทคโนโลยีไมโครเซ็นเซอร์ ตอบสนองนโยบาย Thailand 4.0 โดย TMEC ได้กำหนดยุทธศาสตร์หลักในการก้าวไปสู่องค์กรด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี ไมโครเซ็นเซอร์ ให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของการพัฒนาและผลิตเซ็นเซอร์ประเภทซิลิกอนชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน และเป็นพันธมิตรร่วมกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ การวิจัยและพัฒนา มุ่งเน้นเพื่อสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ไปสู่การใช้จริงในอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีความเห็นว่า TMEC สวทช. ควรตอบสนองนโยบายของรัฐบาลที่จะก้าวไปสู่ Thailand 4.0 ซึ่งเป็นรูปแบบการบริหารประเทศ โดยขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จากประเทศที่เคยเน้นการทำเกษตรกรรม ในโมเดล Thailand 1.0 เข้าสู่การทำอุตสาหกรรม และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่มากมาย และใช้แรงงานคน ในโมเดล Thailand 2.0 ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในโมเดล Thailand 3.0 คือเน้นอุตสาหกรรมหนัก เน้นการส่งออก และการนำเข้าเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งพบว่า ประเทศไทยเจอกับดักประเทศรายได้ปานกลาง กับดักความไม่สมดุลจากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ และกับดักความเหลื่อมล้ำ ดังนั้นทำอย่างไรประเทศไทยจึงจะหลุดพ้นจากประเทศรายได้ปานกลางโดยใช้ ทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า ยั่งยืน และกระจายความมั่งคั่งได้อย่างทั่วถึง กลไกหนึ่งที่สำคัญคือการใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าไปเป็นเครื่องมือใน การขับเคลื่อนประเทศ

Thailand 4.0 จะประกอบด้วย กลุ่มที่ 1 เทคโนโลยีการเกษตร เทคโนโลยีอาหาร กลุ่มที่ 2 เทคโนโลยีสุขภาพ สปา กลุ่มที่ 3 เทคโนโลยีหุ่นยนต์ กลุ่มที่ 4 เทคโนโลยีการเงินฟินเทค, Internet of Things, อี-คอมเมิร์ซ กลุ่มที่ 5 เทคโนโลยีการท่องเที่ยว เทคโนโลยีการออกแบบดีไซน์  ทั้ง 5 กลุ่มนี้ในส่วนของ TMEC สวทช. จะสามารถไปสนับสนุนได้ เช่น เรื่องของ Internet of Things, เทคโนโลยีหุ่นยนต์ เกษตรและอาหาร สุขภาพ ยานยนต์ นอกจากนี้ควรมีความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อการถ่ายทอดความรู้และแลก เปลี่ยนร่วมกันทำงานทั้งในภาคเอกชนและมหาวิทยาลัยแลกเปลี่ยนฝึกงาน

ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระเทพฯ รัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่เสด็จไปที่ CERN และTMEC สวทช. มีโครงการที่ทำงานร่วมกับ CERN Conseil Européen pour la Recherche Nuclé aire (CERN) หรือเป็นภาษาอังกฤษว่า European Council for Nuclear Research ในส่วนของการร่วมวิจัยและพัฒนาเรื่องของอุปกรณ์ระบายความร้อนด้วยเซ็นเซอร์ โดยใช้เทคโนโลยีซิลิกอนที่ทาง TMEC สวทช. เชี่ยวชาญ จากการวิจัยนี้ทำให้ได้รับความรู้มาพัฒนาอุปกรณ์ทางไมโครอิเล็กทรอนิกส์บาง ชิ้นส่วนได้ที่ใช้ทำหัววัด ITS มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท เป็นการเพิ่มศักยภาพของประเทศไทยไปอีกระดับหนึ่ง

เนื่องจากศูนย์ TMEC สวทช. มีความเชี่ยวชาญในด้านเซ็นเซอร์ และเวเฟอร์ เป็นอย่างมาก และนำส่วนนี้มาทำอุปกรณ์ในการตรวจวัดความดันโลหิตร่วมกับสวีเดน ซึ่งก็นับว่าดีมาก จึงอยากเห็นความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสร้างงานด้านนี้ขึ้นเพื่อการจ้างงาน เพิ่มขึ้น  โดยทาง TMEC สวทช. ก็ยังคงความเชี่ยวชาญในการวิจัยและพัฒนาไว้ แต่ภาคเอกชนก็มาสร้างโรงงานทำให้เกิดการจ้างงาน โดยเราไม่ต้องไปซื้ออุปกรณ์จากต่างประเทศ ในอนาคตเรื่องของอุปกรณ์ที่ใช้เซ็นเซอร์นี้มีความสำคัญมาก หากเรามีการวางแผนงานไว้ล่วงหน้า อนาคตจะสามารถลดการนำเข้าได้อย่างมากมาย ทั้งนี้ไทยอาจจะส่งออกอุปกรณ์ได้อีก เป็นการเพิ่มรายได้ให้กับประเทศโดยที่เป็นประโยชน์มาก หาแอปพลิเคชันใหญ่ สังคมกว้างๆ ดูแล เห็นโอกาสหลายจุดที่จะก้าวไป เช่น Medical Hub Robotic ยานยนต์ Electronic รวมทั้งควรร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายทอดความรู้ 

 

 

รูปและที่มาข่าว : กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี