วีเอ็มแวร์ อิงค์ ผู้นำด้านสถาปัตถยกรรมคลาวด์และบิสสิเนสโมบิลิตี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการช่วยให้องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สามารถใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการยกระดับองค์กร (digital transformation) ด้วยการเพิ่มขีดความสามารถด้านโมบิลิตี้ คลาวด์ รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาความปลอดภัยในองค์กร ภายในงาน Bali CIO summit ภายใต้ชื่องาน “เดินหน้าสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล (Accelerating Your Digital Enterprise) โดย ไอดีซี และวีเอ็มแวร์” วีเอ็มแวร์ได้จัดแสดงโซลูชั่นต่างๆ ครบครันที่จะช่วยเป็นพลังขับเคลื่อนให้องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคนี้สามารถทำดิจิทัล ทรานฟอร์มเมชั่น หรือปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลได้
จากผลสำรวจ Digital Transformation (DX) MaturityScape Benchmark Survey ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไอดีซี เพื่อสำรวจการทำดิจิทัลทรานฟอร์มเมชั่น (DX) ขององค์กรต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยพบว่า 34% ขององค์กรในภูมิภาคอาเซียน อยู่ในขั้น opportunistic ของการทำ DX โดยมีความสามารถพื้นฐานด้านดิจิทัลในองค์กร แต่ยังต้องเพิ่มการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลแบบบูรณาการและต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถพัฒนาองค์กรไปถึงขั้นถัดไป
รอน โกะห์ ประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเกาหลี วีเอ็มแวร์ กล่าวว่า “การใช้งานคลาวด์และโมบายอย่างแพร่หลาย ได้เร่งให้เกิดนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลงในตลาดอย่างก้าวกระโดด ในช่วงที่องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน เริ่มมีดิจิทัล และ อีโคโนมี ทรานฟอร์มเมชั่น วีเอ็มแวร์พร้อมที่จะช่วยให้องค์กรเหล่านี้สามารถสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและสะดวกง่ายยิ่งขึ้นกว่าเดิม ภายใต้งบประมาณที่มีอยู่ ด้วยโซลูชั่นและความรู้ความเชี่ยวชาญในการพลิกโฉมระบบไอทีในองค์กร”
ซานดรา อึง, group vice president, Asia Pacific, IDC ให้ความเห็นว่า “ซีอีโอและผู้นำองค์กรในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่างให้ความสำคัญกับการปรับเปลี่ยนองค์กรสู่การเป็นองค์กรดิจิทัล องค์กรต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียนต้องเร่งสร้างความสามารถด้านดิจิทัลพื้นฐานเพื่อสร้างความแตกต่างในตลาด การใช้นวัตกรรมเทคโนโลยีที่มีหลากหลายเพื่อยกระดับองค์กรจะเป็นวิถีของการดำเนินธุรกิจในอนาคต”
เพิ่มความทันสมัยและความสามารถในการใช้โครงสร้างพื้นฐานและแอพพลิเคชั่นองค์กรได้อย่างมีโมบิลิตี้
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้กลายเป็นภูมิภาคที่มีการใช้มือถือแพร่หลาย (Mobile-first region) เพราะเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรในภูมิภาคมีการเชื่อมต่อผ่านทางสมาร์ทโฟน[1] พนักงานในองค์กรเริ่มทำงานนอกสถานที่ โดยใช้อุปกรณ์การทำงาน ข้อมูล และแอพพลิเคชั่นต่างๆ นอกสถานที่ทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ด้วยการทำงานของเทคโนโลยีและทีมงานที่ไม่สอดประสานกัน ทำให้องค์กรดิจิทัลต่างดิ้นรนเพื่อสร้างดิจิทัลเวิร์คสเปซที่รวมเป็นหนึ่งเดียว ทั้งนี้ วีเอ็มแวร์ได้รวมความสามารถในการจัดการสิทธ์การใช้งาน, การบริหารจัดการอุปกรณ์โมบายและแอพพลิเคชั่นขององค์กรไว่บนแพลตฟอร์มเดียวผ่านแพลตฟอร์มเทคโนโลยีใหม่ Workspace ONE ทำให้บุคลากรขององค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญขององค์กรได้ไม่ว่าจะใช้แพลตฟอร์มหรือแอพพลิเคชั่นจากที่ใดหรือดีไวซ์ใดก็ตาม
องค์กรธุรกิจในภูมิภาค จำเป็นต้องหาแนวทางที่จะสามารถจัดการตั้งแต่ดาต้าเซ็นเตอร์ไปจนถึงเด็สก์ท็อปและดีไวซ์ขององค์กรได้อย่างครบถ้วนและปลอดภัย VMware AirWatch® และ VMware Horizon® เป็นโมบิลิตี้โซลูชั่นที่จะช่วยให้องค์กรสามารถใช้งานและจัดการทุกๆ แอพพลิเคชั่น ดีไวซ์ และระบบปฎิบัติการ โครงสร้างพื้นฐานซอฟต์แวร์ดีฟายของวีเอ็มแวร์ รวบรวมการจัดการแอพพลิเคชั่นดั้งเดิมขององค์กรรวมถึงคลาวด์เนทีฟแอพพลิเคชั่น ทำให้ธุรกิจสามารถใช้แอพพลิเคชั่นและดาต้าในการคิดค้น สร้างสรรค์ และสร้างความแตกต่างให้องค์กร
องค์กรชั้นนำอย่างกระทรวงศึกษาธิการมาเลเซีย ได้การยกระดับด้วยการใช้เทคโนโลยีวีเอ็มแวร์เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงเทคโนโลยีจนประสบความสำเร็จ โดยสถาบันการศึกษาได้ใช้ VMware Horizon® View™ เพื่อให้โรงเรียนในชนบทกว่า 10,000 โรงเรียนสามารถเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาได้ ส่งผลให้นักเรียนกว่า 300,000 คนทั่วประเทศสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและแหล่งการเรียนรู้ออนไลน์
เพิ่มความสามารถด้านคลาวด์สำหรับอนาคต
จากผลการสำรวจของ VMware ASEAN Business survey เผยว่า 91% ขององค์กรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ระบุว่า คลาวด์ คอมพิวต์ติ้ง จะเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรม โดยมากกว่าครึ่งหนึ่ง (54%) มองหาแนวทางในการเริ่มต้นใช้งานไฮบริดคลาวด์ วีเอ็มแวร์ช่วยให้ลูกค้าสามารถจัดหาและจัดการ ระบบการประมวลผล, การจัดเก็บข้อมูล, เครือข่ายและการให้บริการแอพพลิเคชั่น ในสภาพแวดล้อมไฮบริดคลาวด์ที่ปรับขยายขนาดได้ แพลตฟอร์มสามารถในการจัดการที่ครอบคลุมสำหรับศูนย์ข้อมูลที่กำหนดด้วยซอฟต์แวร์ที่อยู่ในสามกรณีการใช้งานทั่วไป: ความสามารถในการจัดการแบบครบวงจรบนแพลตฟอร์มสำหรับซอฟต์แวร์ดีฟายดาต้าเซ็นเตอร์ ได้สะท้อนถึงประโยชน์การใช้งานสามข้อดังต่อไปนี้
ปรับกระบวนทัศน์ด้านไซเบอร์ซิเคียวริตี้
การรักษาความปลอดภัยขององค์กรแบบ perimeter-based network นั้นยังมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ เพราะกว่าร้อยละ 70 ของผู้โจมตีประสบความสำเร็จในการโจมตีทางไซเบอร์และเข้าถึงข้อมูลสูญหาย ข้อมูลถูกขโมยได้[2] และเมื่อองค์กรต้องรองรับความต้องการของพนักงานสำหรับการทำงานนอกสถานที่และการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล ทรานฟอร์มเมชั่น จึงทำให้แอพพลิเคชั่นและข้อมูลต่างๆ ของผู้ใช้ กระจายตัวเพิ่มมากขึ้นในอุปกรณ์หลากหลายชนิดในทุกๆ ที่ แบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ผู้โจมตีทางไซเบอร์จึงสามารถแทรกซึมเข้าไปในกลุ่มเป้าหมาย, ช่องว่างใหม่ หรือพรมแดนภายในเครือข่ายขององค์กร เพื่อรักษาความปลอดภัยข้อมูลและแอพพลิเคชั่นในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจดิจิทัลในปัจจุบัน วีเอ็มแวร์ ได้เน้นถึงความจำเป็นมในการวางเลเยอร์ระหว่างโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและแอพพลิเคชั่นต่างๆ เพื่อช่วยให้สามารถมองเห็นเครือข่ายอย่างครบถ้วนหรือเป็นเลนส์ที่จะมองเข้าไปในโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งจะช่วยไอทีในการควบคุมความปลอดภัยและปกป้องสินทรัพย์ดิจิทัลที่สำคัญที่สุดขององค์กร
โซลูชั่นของวีเอ็มแวร์ด้าน บิสสิเนสโมบิลิตี้ และเน็ตเวิร์กเวอร์ช่วลไลเซชั่น เช่น VMware AirWatch®, VMware Identity Manager และ VMware NSX จะช่วยองค์กรให้สามารถจัดการสิทธิ์ใช้งานและผู้ใช้ได้จากส่วนกลาง, ทำไมโครเซ็กเมนเทชั่น (micro-segmentation) ในระดับแอพพลิเคชั่น , การรักษาความปลอดภัยแก่คอนเทนเนอร์ รวมถึงการจัดการการเข้าถึงแอพพลิเคชั่นและคอนเทนต์โดยละเอียด VMware NSX จะช่วยให้องค์กรมีสถาปัตยกรรมความปลอดภัยใหม่ตามที่พวกเขาต้องการในการปกป้องตัวเอง
ด้วยความสามารถในการทำไมโครเซ็กเมนเทชั่นของแพล็ตฟอร์มเน็ตเวิร์กเวอร์ช่วลไลเซชั่น VMware NSX ทำให้ไอทีสามารถจัดหา เคลื่อนย้าย เพิ่มหรือเปลี่ยนเวิร์กโหลด กำหนดนโยบายบนทุกๆเวอร์ช่วลอินเตอร์เฟสและในเคอร์เนล และสร้างไฟร์วอลล์กระจายไปยังทุกไฮเปอร์ไวเซอร์บนแพลตฟอร์ม ซึ่งหมายความว่าเมื่อองค์ประกอบภายในเครือข่ายไม่สมบูรณ์หรือถูกบุกรุก จะถูกอัพเดทหรือลบอย่างรวดเร็วโดยอัตโนมัติและถูกควบคุมเพื่อหยุดภัยคุกคามในโลกไซเบอร์ที่พร้อมกระจายตัวและก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้น
"องค์กรที่มีแนวคิดก้าวหน้าจะทราบดีว่าการรักษาความปลอดภัยแบบตั้งรับ หรือรีแอคทีฟ ในปัจจุบัน ไม่สามารถทำงานได้ดีพออีกต่อไป โดยผู้คนและระบบสามารถถูกละเลยและโจมตี หากองค์กรธุรกิจขาดการวางแผนสถาปัตยกรรมไอทีที่ครอบคลุมทุกระดับ ตั้งแต่ระบบประมวลผล เครือข่าย ระบบจัดเก็บข้อมูล คลาวด์และอุปกรณ์ขององค์กรฃ การใช้เทคโนโลยี ซอฟต์แวร์ดีฟาย สามารถสร้างความความปลอดภัยให้ระบบไอที ได้ในทุกๆ ส่วน ซึ่งจะช่วยให้องค์กรธุรกิจได้รับความยืดหยุ่นที่จำเป็นเพื่อให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจดิจิทัล " รอน โกะห์ กล่าวปิดท้าย