Bell Labs ระบุว่าความต้องการเข้าถึงเนื้อหาข้อมูลผ่านอุปกรณ์ไร้สายของทั้งภาคธุรกิจและผู้บริโภคที่ถาโถมกันเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านหรือในขณะเดินทาง จะแซงหน้าความสามารถของผู้ให้บริการที่จะตอบสนองได้ นอกเสียจากว่าผู้ให้บริการจะเร่งการลงทุนในเทคโนโลยี เช่น 5G และคลาวด์ รายงานนี้มุ่งเน้นไปที่ระบบเครือข่ายไร้สายในอนาคตที่จะตอบสนองดิจิทัลยุคใหม่ ด้วยการนำเสนอมุมมองที่ไม่เหมือนใครในเรื่องของความต้องการที่แท้จริงของขีดความสามารถของระบบไร้สายจากปัจจุบันจนถึงปี 2563 รายงานทำการวิเคราะห์ซึ่งรวมถึงความต้องการเนื้อหาและบริการด้านดิจิทัลในอนาคต แทนที่จะพิจารณาแค่เพียงแนวโน้มของการสื่อสารไร้สายที่ผ่านมาและสภาวการณ์ในปัจจุบันเท่านั้น
Bell Labs Consulting ทำการศึกษาแอพพลิชั่นห้าประเภท คือ สตรีมมิ่ง, คอมพิวติ้ง, สตอร์ริ่ง, เกมมิ่ง และการสื่อสาร และพบว่าออดิโอและวิดีโอสตรีมมิ่งจะมีส่วนสูงสุดในการเพิ่มความต้องการทราฟฟิคในหลายปีถัดจากนี้ โดยคิดเป็นสัดส่วน 79 เปอร์เซ็นต์ของทราฟฟิคที่จะเพิ่มขึ้นภายในปี 2563
โมเดลการศึกษาของ Bell Labs Consulting แสดงให้เห็นว่า ภายในปี 2563, 67 เปอร์เซ็นต์ของความต้องการใช้งานทั่วโลกจะผ่าน Wi-Fi และอีก 14 เปอร์เซ็นต์จะเป็นการใช้งานผ่าน 3G, LTE, small cells ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมถึงเทคโนโลยีที่เกิดใหม่ เช่น 5G ทั้งนี้จากปัจจุบันจนถึงปี 2563 ยังมีอีก 19 เปอร์เซ็นต์ของผู้ต้องการใช้งานที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองบนพื้นฐานของสภาพเศรษฐกิจทั้งในปัจจุบันและที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นผู้ให้บริการจำเป็นต้องเร่งเส้นทางสู่การให้บริการเทคโนโลยี 5G และคลาวด์ เช่นฟังก์ชั่นเครือข่ายเสมือนจริง (Network Function Virtualization: NFV) และเครือข่ายที่กำหนดโดยซอฟต์แวร์ (Software-Defined Networking: SDN) และนำรูปแบบการทำธุรกิจแบบใหม่ๆ มาใช้เพื่อเติมเต็มช่องว่างของความต้องการที่ยังขาดอยู่
สิ่งที่จะเข้ามามีผลกระทบกับเครือข่ายคือ IoT มีการคาดการณ์ว่าจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ IoT จะเติบโตจาก 1.6 พันล้านรายการในปี 2557 เป็น 20 ถึง 46 พันล้านรายการภายในปี 2563 ในจำนวนนี้จะเป็นอุปกรณ์เซลลูล่าร์ IoT จำนวน 1.6 ถึง 4.6 พันล้านรายการ แม้จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างมากมายมหาศาลของอุปกรณ์ แต่ทราฟฟิคในเครือข่ายไร้สายที่เกิดจากอุปกรณ์ IoT จะมีสัดส่วนโดยรวมเพียง 2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น จนกว่าเซ็นเซอร์และกล้องที่สามารถส่งวิดีโอได้จะมีการใช้งานอย่างแพร่หลาย
ถึงกระนั้น แม้ในระยะเวลาอันใกล้นี้ปริมาณทราฟฟิคที่เกิดจาก IoT เมื่อเทียบกับดาต้าทราฟฟิคจะสูงขึ้นเป็นอย่างมาก เช่น อุปกรณ์ IoT ทั่วไปเชื่อมต่อ 2,500 ครั้งใช้ปริมาณข้อมูล 1 MB ในขณะที่เมื่อเทียบกับเมื่อใช้ข้อมูลปริมาณเดียวกันนี้ดูวิดีโอผ่านเครือข่ายไร้สายได้เพียงครั้งเดียว ส่งผลให้การเชื่อมต่อกับเครือข่ายจากอุปกรณ์เซลลูล่าร์ IoT จะเติบโต 16 ถึง 135 เท่าในปี 2563 และจะเป็นสามเท่าของทราฟฟิคที่เกิดจากการเชื่อมต่อโดยคน
ประเด็นสำคัญอื่นๆ ในรายงานฉบับนี้ ได้แก่
Nokia Bell Labs ประกาศเปิดตัวแผนก Consulting เมื่อเดือนมีนาคม 2558 เพื่อใช้ทักษะการวิเคราะห์เชิงลึก ประสบการณ์ตรง และเครื่องมือการสร้างแบบจำลองทางเทคโนโลยี-เศรษฐกิจที่มีความซับซ้อน กับความท้าทายที่อุตสาหกรรมเครือข่ายการสื่อสารและไอทีกำลังเผชิญอยู่ ในรายงานฉบับนี้ นอกจากการบ่งชี้แนวโน้มความต้องการทราฟฟิคการสื่อสารไร้สายในอนาคตที่พิจารณาจากบรรทัดฐานในปัจจุบันและอัตราการเติบโตต่างๆ แล้ว Bell Labs Consulting ยังนำเสนอรูปแบบจำลองของความต้องการต่างๆ ที่สร้างขึ้นจากการวิจัยของแผนกเองและจากข้อมูลภายนอกที่มีอยู่
มาร์คัส เวลดอน ประธาน Nokia Bell Labs และ Chief Technology Officer (CTO) กล่าวว่า “ก้าวต่อไปของมนุษยชาติจะโยงใยกับ 'วิถีชีวิตแบบอัตโนมัติ' และการสร้างโลกที่มีการเชื่อมต่อสิ่งต่างๆ เข้าด้วยกันนับหลายพันล้านรายการ เช่น อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ กล้อง หุ่นยนต์ เซ็นเซอร์ และกระบวนการแลกเปลี่ยนการสตรีมวิดีโอและข้อมูลแบบเรียลไทม์ ไม่เพียงแต่สิ่งที่เกี่ยวของกับคนเท่านั้น ระบบที่ทำงานบนคลาวด์จะดึงเอาความรู้ที่ได้จากข้อมูลและการดำเนินการเหล่านี้มาทำให้การทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัวของเรามีความสะดวกมากขึ้น สภาพแวดล้อมต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเรามีความเป็นอัจฉริยะมากขึ้น ยุคดิจิทัลใหม่นี้จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะความต้องการการใช้การสื่อสารไร้สายอย่างมาก ซึ่งเป็นความท้าทายของผู้ให้บริการที่จะทำอย่างที่จะให้บริการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดในราคาต่อบิตต่ำที่สุด ในขณะเดียวกันก็ต้องรองรับการปรับใช้ที่เป็นแบบฉบับส่วนบุคคลได้อย่างครอบคลุมอีกด้วย”
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมว่า Nokia Bell Labs มีมุมมองความเป็นไปในอนาคต และการคิดค้นนวัตกรรมทางเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าซึ่งจำเป็นสำหรับสถาปัตยกรรมและระบบต่างๆ อย่างไร ได้ที่หนังสือที่ตีพิมพ์ล่าสุดของเรา: The Future X Network: A Bell Laps Perspective