กระทรวงพลังงาน จัดรับฟังความคิดเห็น "ร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า พ.ศ. ....." ใน 5 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ  เพื่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในชุมชนรอบโรงไฟฟ้า ให้เกิดการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน

นายณอคุณ สิทธิพงศ์ รองปลัดกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ขณะนี้คณะอนุกรรมการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า ได้ทำการยกร่างระเบียบคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางการจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า พ.ศ. .... เสร็จแล้ว และต่อจากนี้จะมีการจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นเกี่ยวกับร่างระเบียบฯดังกล่าว ใน 5 ภาคทั่วประเทศแล้วนำมาปรับปรุงร่างระเบียบดังกล่าว ก่อนนำไปประกาศใช้ต่อไป

ทั้งนี้ กระทรวงพลังงานกำหนดให้มีการจัดสัมมนารับฟังความคิดเห็นใน 5 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ ประกอบด้วย จังหวัดสระบุรี วันที่ 6 ส.ค.50,จังหวัดลำปาง วันที่ 7 ส.ค.50, จังหวัดขอนแก่น วันที่ 9 ส.ค.50,จังหวัดนครศรีธรรมราช วันที่ 14 ส.ค. 50 และจังหวัดระยอง วันที่ 17 ส.ค.50

การจัดตั้งกองทุนพัฒนาชุมชนในพื้นที่รอบโรงไฟฟ้า มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาเงินทุนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนและสิ่งแวดล้อมในชุมชนรอบโรงไฟฟ้า โดยการให้เงินอุดหนุนหรือเงินช่วยเหลือแก่ชุมชนในด้านต่างๆเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่มั่นคงและยั่งยืน

"จากประมาณการเบื้องต้นของโรงไฟฟ้าที่มีอยู่ในปัจจุบัน คาดว่าในปี 2551จะจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ รวมประมาณ 1,887 ล้านบาท เพื่อจัดสรรให้กับชุมชนรอบโรงไฟฟ้าทั่วประเทศ ซึ่งตามกรอบของการใช้จ่ายเงินกองทุนฯ ชุมชนสามารถนำไปใช้ประโยชน์เพื่อส่วนรวมในชุมชนเป็นหลัก ได้แก่ การพัฒนาอาชีพ การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม กีฬา และดนตรี หรือการสาธารณสุขและพัฒนาสิ่งแวดล้อม การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน หรือเป็นเพื่อบรรเทาความเสียหายทันทีหากเกิดผลกระทบที่มีสาเหตุมาจากโรงไฟฟ้า หรือาจใช้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าให้กับครอบครัวในชุมชนที่อยู่รอบโรงไฟฟ้าก็ได้" นายณอคุณกล่าว

ส่วนหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ กำหนดให้โรงไฟฟ้าจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ เป็นประจำทุกเดือน ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ ซึ่งจะแตกต่างกันตามประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติ 1 สตางค์ต่อหน่วย น้ำมันเตา/ดีเซล 1.5 สตางค์ต่อหน่วย ถ่านหิน/ลิกไนต์ 2 สตางค์ต่อหน่วย และหากเป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ชีวมวล กาก เศษวัสดุเหลือใช้ และขยะ เรียกเก็บ 1 สตางค์ต่อหน่วย และพลังน้ำ เรียกเก็บ 2 สตางค์ต่อหน่วย ตัวอย่างเช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 700 เมกะวัตต์จะเก็บเงินเข้ากองทุนฯได้ถึงปีละ 100 ล้านบาท ในขณะที่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาด 700 เมกะวัตต์จะเก็บเงินเข้ากองทุนฯได้ปีละ 50 ล้านบาท

ส่วนหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ กำหนดให้โรงไฟฟ้าจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ เป็นประจำทุกเดือน ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ ซึ่งจะแตกต่างกันตามประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติ 1 สตางค์ต่อหน่วย น้ำมันเตา/ดีเซล 1.5 สตางค์ต่อหน่วย ถ่านหิน/ลิกไนต์ 2 สตางค์ต่อหน่วย และหากเป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ชีวมวล กาก เศษวัสดุเหลือใช้ และขยะ เรียกเก็บ 1 สตางค์ต่อหน่วย และพลังน้ำ เรียกเก็บ 2 สตางค์ต่อหน่วย ตัวอย่างเช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 700 เมกะวัตต์จะเก็บเงินเข้ากองทุนฯได้ถึงปีละ 100 ล้านบาท ในขณะที่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาด 700 เมกะวัตต์จะเก็บเงินเข้ากองทุนฯได้ปีละ 50 ล้านบาท

ส่วนหลักเกณฑ์การเรียกเก็บเงินเข้ากองทุนฯ กำหนดให้โรงไฟฟ้าจ่ายเงินเข้ากองทุนฯ เป็นประจำทุกเดือน ตามหน่วยพลังงานไฟฟ้าที่ขายเข้าระบบ ซึ่งจะแตกต่างกันตามประเภทของเชื้อเพลิงที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ประกอบด้วย ก๊าซธรรมชาติ 1 สตางค์ต่อหน่วย น้ำมันเตา/ดีเซล 1.5 สตางค์ต่อหน่วย ถ่านหิน/ลิกไนต์ 2 สตางค์ต่อหน่วย และหากเป็นเชื้อเพลิงที่ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ชีวมวล กาก เศษวัสดุเหลือใช้ และขยะ เรียกเก็บ 1 สตางค์ต่อหน่วย และพลังน้ำ เรียกเก็บ 2 สตางค์ต่อหน่วย ตัวอย่างเช่น โรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 700 เมกะวัตต์จะเก็บเงินเข้ากองทุนฯได้ถึงปีละ 100 ล้านบาท ในขณะที่โรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติขนาด 700 เมกะวัตต์จะเก็บเงินเข้ากองทุนฯได้ปีละ 50 ล้านบาท