นักวิจัย JGSEE ชี้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับภาคการใช้พลังงาน อีกทั้งยังเป็นการปลดปล่อยเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์
. |
นักวิจัย JGSEE ชี้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรเป็นสัดส่วนเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับภาคการใช้พลังงาน อีกทั้งยังเป็นการปลดปล่อยเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เผยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ได้ผลควรทำในภาคการใช้พลังงาน โดยการหันมาใช้พลังงานหมุนเวียน และใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ |
. |
รศ.ดร.สิรินทรเทพ เต้าประยูร ประธานสายสิ่งแวดล้อม บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีการกล่าวถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรกรรมมากขึ้น โดยเฉพาะการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าว ซึ่งแท้จริงแล้วการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศของประเทศไทยจากประมาณ 344 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า คิดเป็นการปล่อยจากภาคพลังงานถึงร้อยละ 56 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศ รองลงมาภาคเกษตรกรรม ร้อยละ 24จากขยะมูลฝอย และของเสีย ร้อยละ 8 จากป่าไม้และการใช้ที่ดิน ร้อยละ 7 และจากกระบวนการอุตสาหกรรมร้อยละ 5 |
. |
ดังนั้นการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยควรให้ความสำคัญกับภาคพลังงานมากกว่าภาคเกษตรกรรมซึ่งมีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชากรส่วนใหญ่ “ปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวคิดเป็นร้อยละ 10 ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของประเทศ หรือประมาณ 40ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ซึ่งนับว่าเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเปรียบเทียบกับการปล่อยจากภาคพลังงาน อีกทั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในนาข้าวยังเป็นการปล่อยเพื่อความอยู่รอดของคนไทย เนื่องจากคนไทยทุกคนต้องกินข้าวการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากนาข้าวไม่มีความจำเป็น” ทั้งนี้ ก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยจากนาข้าว ส่วนใหญ่คือก๊าซมีเทนซึ่งเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์จากจุลินทรีย์ที่อยู่ในดินนาซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดก๊าซมีเทน คือ สภาพไร้อากาศในดินนาและสารอินทรีย์ที่อยู่ในนาข้าว |
. |
โดยจากการทำวิจัยเรื่อง "..."ของบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) พบว่าช่วงเวลาที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด คือ ช่วงที่ต้นข้าวเริ่มออกดอก ออกรวง “จุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดินนาเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดก๊าซมีเทนโดยจุลินทรีย์ชนิดนี้จะย่อยสลายสารอินทรีย์ที่ต้นข้าว และรากข้าวปล่อยลงสู่ดิน และจะย่อยสลายได้ในสภาพไร้อากาศ ซึ่งแปลงนาที่มีการปล่อยน้ำมาท้วมดินนาจะทำให้เกิดสภาพไร้อากาศในดินนาก๊าซมีเทนที่เกิดขึ้นจะถูกปลดปล่อยสู่บรรยากาศมากที่สุดโดยผ่านทางช่องว่างในลำต้นของข้าว แต่อย่างไรก็ดี หากชาวนามีความต้องการลดการปล่อยก๊าซมีเทน ก็สามารถทำได้ โดยการเลื่อนการปล่อยน้ำออกจากนาไปในช่วงที่ต้นข้าวกำลังออกดอก ออกรวง เนื่องจากเป็นช่วงที่มีการปล่อยก๊าซมีเทนมากที่สุด การดึงน้ำออกจากนาจะทำให้ดินนากลับคืนสู่สภาพมีออกซิเจน ทำให้จุลินทรีย์ไม่สามารถย่อยสลายสารอินทรีย์ได้ จากนั้นจึงสูบน้ำกลับเข้านาภายใน 3 วัน วิธีการเช่นนี้จะช่วยลดการป ล่อยก๊าซมีเทนได้ประมาณร้อยละ 30-40 จากปริมาณการปล่อยเดิม” |
. |
นอกจากนี้ รศ.ดร.สิรินทรเทพ กล่าวต่ออีกว่า จากข้อมูลของ World Research Institute (WRI) ได้มีการจัดอันดับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขึ้นสู่บรรยากาศของประเทศไทย ให้อยู่ที่อันดับที่ 26 เมื่อปีค.ศ. 2000 โดยมีอัตราการปล่อยร้อยละ 0.8 ของการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั่วโลก ประเทศไทยจึงควรมีมาตรการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจกโดยเฉพาะในภาคพลังงานอันประกอบด้วยสาขาขนส่ง สาขาการผลิตไฟฟ้า และสาขาอุตสาหกรรม ซึ่งการหันมาใช้พลังงานหมุนเวียนจะช่วยให้ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ประมาณร้อยละ 10 และหากใช้พลังงานหมุนเวียนร่วมกับการใช้ มาตรการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดได้ถึงร้อยละ 16 ภายในเวลา 5 ปี ทั้งนี้ วิธีการที่ประชาชนทั่วไปสามารถร่วมกันปฏิบัติได้คือ การประหยัดพลังงาน ลดการใช้น้ำมันให้น้อยลง หันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น ใช้ไฟฟ้าให้น้อยลง ด้วยวิธีการเหล่านี้จะช่วยให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยน้อยลงได้ |