เศรษฐกิจซบกระทบตลาดแว่นตาคาดปีนี้โตไม่เกิน 5% ส่งผลผู้ประกอบการต่างเร่งปรับตัว ด้าน สมาร์ท วิชั่น ผู้นำตลาดแว่นสายตาโชว์ผลงานเด่นสวนกระแสตลาดกวาดยอด 57 ล้านบาท จากกลยุทธ์จับตลาดลูกค้าองค์กร ชูจุดเด่นด้านการบริการด้วยผลิตภัณฑ์แว่นตาและเลนส์ที่ได้มาตรฐาน การตรวจวัดสายตาด้วยนักทัศนมาตร พร้อมระบบการตรวจและเก็บข้อมูลที่สามารถตรวจสอบผ่านระบบออนไลน์และโซเชียลมีเดีย พร้อมเดินหน้าจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ลูกค้าต่อเนื่อง ลั่นปีหน้าขอโตเพิ่มอย่างน้อย 10%
นางสาว ชุลีพร ชมพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท วิชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงสภาพตลาดแว่นตาในปีนี้ (2558) ว่า เศรษฐกิจไทยปีนี้อยู่ในภาวะชะลอตัวโดยได้รับผลกระทบจากทั้งปัญหาเศรษฐกิจโลกและกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศที่ลดลงส่งผลต่อทั้งยอดขายและการเติบโตของตลาด โดยคาดว่าตลาดจะสามารถเติบโตได้เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยแต่ไม่น่าเกิน 5% หรือ คิดเป็นมูลค่ารวมของตลาดประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากสุดคือกลุ่มแว่นตาประเภทแฟชั่น ส่วนในกลุ่มของแว่นสายตาแม้จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้มีปัญหาทางด้านสายตาก็ยังได้รับผลกระทบบ้างแต่น้อยกว่า โดยเกิดจากพฤติกรรมการใช้แว่นสายตาที่เปลี่ยนไปจากปกติที่มีการเปลี่ยนกรอบแว่นพร้อมเลนส์ทุก 1-2 ปี เป็นการเปลี่ยนเฉพาะตัวเลนส์อย่างเดียวหากกรอบแว่นยังใช้งานได้ เมื่อแนวโน้มตลาดมีการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะนี้ทำให้ผู้ประกอบการแว่นตาต้องเร่งปรับตัว ทั้งในรูปแบบของการดำเนินธุรกิจและกลยุทธ์การตลาด ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือในการส่งเสริมการขายและกระตุ้นการซื้อกับกลุ่มลูกค้าในรูปแบบของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย รวมไปถึงการขยายธุรกิจหรือขยายสาขาไปยังต่างประเทศโดยเฉพาะในกลุ่มอาเซียน ซึ่งจะได้รับผลดีจากการเปิด AEC และ เป็นตลาดใหม่ที่มีศักยภาพอยู่มาก
แม้ภาพรวมของตลาดจะเกิดการชะลอตัวแต่สำหรับการดำเนินธุรกิจของ สมาร์ท วิชั่น (ไทยแลนด์) หนึ่งในผู้นำตลาดแว่นสายตาถือว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนักและยังสามารถขยายตัวเติบโตต่อเนื่อง ทั้งนี้เนื่องจากแผนและการดำเนินกลยุทธ์การตลาดที่มีความชัดเจนและมีความยืดหยุ่นสูงรับกับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงและแข่งขันสูงตลอดเวลา โดยกลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทฯ จะเป็นกลุ่มลูกค้าองค์กรประมาณ 90% ประกอบไปด้วยกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม โรงงาน หน่วยงานภาครัฐและเอกชนประมาณ 3,000 แห่ง กลุ่มโรงพยาบาลประมาณ 10 แห่ง ส่วนกลุ่มลูกค้ารายย่อยและกลุ่มลูกค้าทั่วไปซึ่งเป็นผู้มีปัญหาด้านสายตามีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 10%
สำหรับกลุ่มลูกค้าองค์กรนั้นแม้จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีขนาดใหญ่และมีศักยภาพ แต่ก็ต้องการผู้ให้บริการด้านการตรวจวัดสายตาที่มีความเชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ และ เข้าใจในลักษณะการให้บริการกับลูกค้ากลุ่มนี้ที่ต้องมีความรวดเร็ว เป็นระบบ แม่นยำ และ ตรวจสอบได้ ซึ่งจากประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 18 ปี ทำให้ สมาร์ท วิชั่น (ไทยแลนด์) ได้รับความไว้วางใจทั้งจากลูกค้าที่เป็นองค์กรภาครัฐและเอกชนที่มีชื่อเสียงระดับชาติอย่างมากมาย ทั้งยังได้รับการติดต่อจากลูกค้าใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ด้วยจุดเด่นของการให้บริการที่มีความพร้อมทั้งผลิตภัณฑ์แว่นตาและเลนส์ที่ได้มาตรฐานมีความเหมาะสมด้านราคา การให้บริการตรวจวัดสายตาด้วยนักทัศนมาตรซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง มีบริการศูนย์สุขภาพสายตาเคลื่อนที่ในลักษณะโมบาย คาร์ (Mobile Car) พร้อมมีระบบการตรวจและเก็บข้อมูลของผู้ใช้บริการตรวจวัดสายตาที่ทันสมัยสะดวก รวดเร็ว และ ตรวจสอบฐานข้อมูลผ่านระบบออนไลน์และโซเชียลมีเดียได้
นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังมีการจัดกิจกรรมพิเศษเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ทั้งในรูปการอบรมสัมมนาให้ความรู้เรื่องต่างๆ กิจกรรมเชื่อมความสัมพันธ์ และ กิจกรรมเพื่อสังคม โดยเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่ายทั้งบริษัท พนักงาน และ ลูกค้า ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรมขอบคุณลูกค้าในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ขึ้นในวันที่ 25 ธันวาคม 2558 ซึ่งจะประกอบไปด้วย Talk Show จากสุดยอดนักพูดชื่อดังของเมืองไทย อาทิ ดร.ผาณิต กันตามระ, ดร.สุรวงศ์ วัฒนกูล, ผศ.ดร.โอภาส กิจกำแหง และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ในหัวข้อ “สนุกกับงาน เล่นกับเงิน เพลินกับคน” และ กิจกรรม Meet&Greet กับ เต้ย-พงศกร เมตตาริกานนท์ นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมเพื่อสังคมแจกแว่นสายตาฟรีแก่ผู้สูงอายุและผู้มีปัญหาด้านสายตาจำนวน 418 ตัว ในวันที่ 12 มกราคม 2559 ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์ โทร.0 2433 4755-6
จากการดำเนินแผนและกลยุทธ์ดังกล่าวทำให้ในปีนี้ (2558) คาดว่า สมาร์ท วิชั่น (ไทยแลนด์) จะมีผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็น 57 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน (2557) ซึ่งอยู่ที่ 51 ล้านบาท และ คาดว่าในปี 2559 จะยังสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 10% จากการพัฒนาธุรกิจ การให้บริการ และ กลุ่มลูกค้าที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับได้รับผลดีจากแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจและการส่งเสริมภาคเอกชนในด้านการลงทุนของภาครัฐ รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนขึ้นซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของไทยด้วย