การผสานรวมกันของเทคโนโลยีที่แตกต่างกันในปัจจุบันทำให้สามารถสร้างความเป็นส่วนตัว, ความโปร่งใส และความเร็วในการคืนทุนได้อย่างไม่มีใครเทียบเคียง
อะโดบี (Nasdaq:ADBE) ได้ประกาศเปิดตัวแพลทฟอร์มโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติ (Programmatic Advertising Platform) ที่เหนือล้ำที่สุดในวงการสำหรับเหล่านักโฆษณาและผู้เผยแพร่สื่อ ซึ่งเป็นการทำให้ Adobe Marketing Cloud นั้นได้ถูกยกระดับความสามารถในการผสานรวมโซลูชั่นต่างๆ เข้าด้วยกันขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง ทั้งนี้ด้วย Adobe Media Optimizer ก็ทำให้เทคโนโลยีแบบ “บริการตัวเอง (self-service)” ใหม่ล่าสุดนี้เปิดให้นักโฆษณาทำการควบคุมการซื้อโฆษณาผ่านการค้นหา, ช่องแสดงโฆษณา และสื่อเครือข่ายสังคมผ่านระบบแลกเปลี่ยนโฆษณาและเครือข่ายสื่อจากพาร์ทเนอร์อย่าง Google, Facebook, Yahoo, Rubicon Project, Index Exchange และอื่นๆ ได้เองโดยตรงเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมานักโฆษณานั้นต้องเผชิญกับปัญหาในกระบวนการการซื้อโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติที่หลากหลายและขาดความโปร่งใสมาอย่างต่อเนื่อง แพลทฟอร์มใหม่ล่าสุดนี้จะทำให้เกิดความโปร่งใสในค่าใช้จ่ายของสื่อ, ประสิทธิภาพของโฆษณา และรายรับ พร้อมทั้งทำให้มีข้อตกลงกับลูกค้าได้ว่าจะไม่เกิดการค้ากำไรเกินควรหรือค่าใช้จ่ายแอบแฝง การผสานการทำงานรวมกับ Adobe Analytics และ Adobe Audience Manager ก็ทำให้ให้แน่ใจได้ว่านักโฆษณาจะสามารถนำข้อมูลออกมาวิเคราะห์และพุ่งเป้าการโฆษณาไปยังกลุ่มผู้ชมที่เจาะจงได้ อีกทั้งความสามารถในการสร้างสรรค์อย่างมีชีวิตชีวาก็จะทำให้นักโฆษณาสามารถใช้รูปภาพ, วิดีโอ และสื่ออื่นๆ จาก Adobe Creative Cloud ในการนำเสนอเนื้อหาที่เหมาะสมต่อผู้ฟังในเวลาที่ใช่ได้อีกด้วย
นอกจากการเปิดตัวแพลทฟอร์มโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติต่อเหล่านักโฆษณาในวันนี้แล้ว อะโดบีก็ยังประกาศเปิดตัวระบบโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติสำหรับผู้เผยแพร่สื่อด้วยเช่นกัน Adobe Primetime ซึ่งเป็นแพลทฟอร์มโทรทัศน์ของ Adobe ที่ช่วยให้ช่องต่างๆ และผู้ให้บริการดูโทรทัศน์แบบมีค่าใช้จ่ายสามารถนำเสนอและสร้างรายได้จากการรับชมโทรทัศน์ผ่านหน้าจอที่หลากหลายนั้น ก็สามารถเปิดให้ผู้ขายสื่อสร้างรายรับจากคลังของโฆษณาวิดีโอที่มีอยู่ให้สูงสุดได้ด้วยค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมที่สุดสำหรับหน้าจอแต่ละชนิด ผู้กระจายเนื้อหาต่างๆ นั้นก็จะถูกเชื่อมโยงเข้ากับผู้ซื้อโฆษณาหลายรายยิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้ชมที่มีจำนวนมากขึ้นได้ และด้วยการตรวจสอบผลการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ชมจาก Adobe Audience Manager ก็ทำให้ Adobe Primetime ช่วยให้การขายโฆษณาโดยตรงแบบพรีเมี่ยมสามารถอ้างอิงกับข้อมูลที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้ ส่งผลให้สามารถทำการทำนายได้อย่างแม่นยำสูงสุด และปรับปรุงประสิทธิภาพของโฆษณาให้ดีที่สุดได้ ความสามารถในการทำโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติใน Adobe Primetime นี้เปิดให้ทดสอบใช้งานได้ในแบบ beta แล้ววันนี้
“ความโปร่งใสเป็นกุญแจหลักสู่ความสำเร็จในโลกของโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติที่การซื้อและขายโฆษณาแบบดิจิตัลเป็นไปอย่างอัตโนมัติ แต่นักโฆษณานั้นก็มีความต้องการที่มากขึ้นไปกว่าข้อมูลที่เกิดขึ้น ณ ช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายและความคุ้มค่าของแคมเปญ ซึ่งอะโดบีสามารถตอบโจทย์เหล่านั้นได้” จัสติน เมอริเคล ผู้ดำรงตำแหน่งผู้กำกับอาวุโสฝ่ายโซลูชั่นการโฆษณาแห่งอะโดบีกล่าว “ด้วยมูลค่าของการโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติทั่วโลกที่คาดว่าจะเติบโตถึง 53,000 ล้านเหรียญดอลาร์สหรัฐภายในปี 20181 อะโดบีเป็นบริษัทแรกที่ทำการผสานรวมเทคโนโลยีที่แตกต่างเหล่านี้เข้าด้วยกัน และนำเสนอความสามารถในการโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัตินี้เป็นแพลทฟอร์มกลางได้สำเร็จ”
“อะโดบีกำลังพุ่งเป้าความสนใจไปยังปัญหาหลักบางส่วนของวงการที่มีแพลทฟอร์มโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติ ที่เกิดขึ้นเทคโนโลยีที่ใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างกัน และการเก็บข้อมูลในแต่ละระบบแยกขาดจากกัน เพื่อทำการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ให้รองรับผู้ใช้งานจำนวนมากและเกิดความโปร่งใสในช่องทางของการทำแคมเปญที่หลากหลาย” สตีเฟน เบรินเจอร์ ผู้ดำรงตำแหน่ง CEO แห่ง VivaKi Operating System (VOS) กล่าว “การติดตามว่าโฆษณาดิจิตัลถูกนำเสนอเมื่อไหร่, ที่ไหน และอย่างไรนั้นยากขึ้นเรื่อยๆ แต่นักการตลาดก็มีความต้องการที่จะตรวจสอบมากขึ้นเรื่อยๆ เราแบ่งปันข้อตกลงของ Adobe ในการทำโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติที่ทั้งโปร่งใสและตรวจสอบได้ และความสัมพันธ์ในระดับ Always On ของเราก็ได้ทำให้เราได้รับโอกาสที่มีความหมายอย่างยิ่งในการกำหนดทิศทางในอนาคต และการทำงานร่วมกันเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้”
นักโฆษณาและบริษัทตัวแทนกำลังมองหาความง่ายในโลกที่มีทั้งความหลากหลายและความซับซ้อนอย่างมหาศาล เพื่อที่จะได้บรรลุคำสัญญาที่ให้ไว้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด จุดเด่นหลักๆ ของแพลทฟอร์มนี้ได้แก่:
“ด้วยการบริหารจัดการช่องทางการโฆษณาแบบตัดสินใจอัตโนมัติทั้งหมดของเรา (ช่องแสดงผล, การค้นหา และสื่อเครือข่ายสังคม) ภายใน Adobe Media Optimizer ทำให้เราได้รับประโยชน์การข้อมูลอันเหลือเชื่อในการจัดแบ่งกลุ่มและการกำหนดช่องทางในการบรรลุเป้าหมายสำหรับผู้ใช้งาน ซึ่งทำให้เราสามารถบริหารจัดการและใช้งบประมาณในการโฆษณาได้อย่างคุ้มค่ายิ่งขึ้น” ลาธัญญา ฮ็อดจส์ ผู้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารอาวุโสฝ่ายการตลาดแบบมีปฏิสัมพันธ์แห่ง Redbox กล่าว “เราได้เห็นการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 106 เปอร์เซ็นต์ในการใช้งบประมาณกับโฆษณาบนช่องแสดงผลด้วย Adobe Media Optimizer เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ให้บริการโฆษณาบนช่องแสดงผลรายก่อน และทำให้เรามีรายรับเพิ่มมากขึ้น”
1ที่มา: MAGNA GLOBAL. “MAGNA GLOBAL’s New Programmatic Forecasts.” Sept. 2014 http://www.magnaglobal.com/magna-globals-new-programmatic-forecasts-global-programmatic-spend-to-reach-53bn-by-2018/
เกี่ยวกับ Adobe Marketing Cloud
Adobe Marketing Cloud ช่วยให้องค์กรสามารถใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อเข้าถึงและดึงดูดลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างรายได้ด้วยเนื้อหาการตลาดที่ปรับแต่งเฉพาะรายบุคคลบนอุปกรณ์และจุดเชื่อมต่อดิจิตัลที่หลากหลาย ด้วย 8 โซลูชั่นที่ทำงานร่วมกันได้อย่างเหนียวแน่นก็ทำให้นักการตลาดมีเทคโนโลยีการตลาดที่ครบสมบูรณ์ในการวิเคราะห์ข้อมูล, การบริหารจัดการประสบการณ์บนเว็บและแอพ, การทดสอบและเลือกเป้าหมาย, การโฆษณา, การบริหารจัดการผู้ชม, วิดีโอ, การดึงดูดบนโซเชี่ยล และการจัดการแคมเปญ การนำ Adobe Creative Cloud เข้ามาใช้งานร่วมด้วยนั้นก็ทำให้สามารถใช้ทรัพย์สินที่สร้างสรรค์ขึ้นมาบนช่องทางการตลาดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย แบรนด์ต่างๆ ทั่วโลกนับพันซึ่งรวมถึงสองในสามของบริษัทใน Fortune 50 ก็มีการใช้งาน Adobe Marketing Cloud อยู่
ลิงค์ที่เป็นประโยชน์