เนื้อหาวันที่ : 2007-07-10 10:07:27 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1395 views

"อภิรักษ์" หน้ามืด บี้ กทม.รีดภาษี 4.5 หมื่นล้าน

ผลพวงจากการที่ผู้ว่าฯ กทม. "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ตั้งเป้ารายจ่ายประจำปี 2551 ไว้สูงถึง 60,065 หมื่นล้านบาท ทำให้ กทม.ต้องปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย คนกรุงเทพฯ เตรียมควักกระเป๋าจ่ายภาษีไว้ล่วงหน้า

ผลพวงจากการที่ผู้ว่าฯ กทม. "อภิรักษ์ โกษะโยธิน" ตั้งเป้ารายจ่ายประจำปี 2551 ไว้สูงถึง 60,065 หมื่นล้านบาท ทำให้ กทม.ต้องปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

.

โดยปีหน้าเป้าหมายที่ฝ่ายผู้บริหารวางกรอบไว้ ฝ่ายรายได้ของ กทม.จะต้องจัดเก็บรายได้ให้ได้ 45,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในส่วนที่ กทม.ต้องเก็บเอง 11,000 ล้านบาท ส่วนอีก 34,000 ล้านบาท จะจัดเก็บโดยรัฐบาลกลาง

.

นับว่าเป็นภาระหนักอึ้งที่ กทม.ต้องใช้ความพยายามจัดเก็บภาษีให้ได้เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ถึง 6,000 ล้านบาท ขณะที่ปี 2550 กทม.ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 39,000 ล้านบาท วิธีการที่จะนำมาใช้เพื่อให้การจัดเก็บรายได้เป็นไปตามเป้า นอกจากจะขอความร่วมมือจากทุกเขตให้ความร่วมมือในการจัดเก็บภาษีให้ได้ทุกหลังคาเรือนแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดจะต้องหาฐานภาษีรายใหม่ที่หลงเหลืออยู่ให้มากที่สุด อีกทั้งให้ตรวจสอบการจัดเก็บภาษีป้ายให้เข้มงวดมากขึ้น

.

ตามแผนที่วางไว้ในปี 2551 สำนักการคลังจะของบประมาณจำนวน 3 ล้านบาทเศษ เพื่อว่าจ้างผู้ที่จบปริญญาตรีประมาณ 50 คน ลงพื้นที่ทั้ง 50 เขต ทำหน้าที่ตรวจสอบการจัดเก็บภาษีในแต่ละหลังคาเรือนในแต่ละพื้นที่

.

โดยตั้งเป้าหมายว่าการใช้วิธีการนี้จะทำให้ กทม.จัดเก็บภาษีได้ครบถ้วนมากยิ่งขึ้น เพราะจะมีการเข้าไปตรวจสอบทุกหลังคาเรือน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ จากเดิมมีผู้เสียภาษีจำนวนมากที่หลีกเลี่ยงการเสียภาษี เนื่องจาก กทม.ใช้เพียงแค่แผนที่ภาษี ส่งผลให้การจัดเก็บภาษีทำได้ไม่ครบถ้วน

.
เดินแผนรัดกุมขนาดนี้ คนกรุงเทพฯคงต้องเตรียมควักกระเป๋าจ่ายภาษีไว้ล่วงหน้า
.

ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ