บีโอไอ ยันเดินมาตรการหนุนรถอีโคคาร์มาถูกทางแล้ว ไม่แก้ไขหรือยืดหยุ่นอีกเพราะต้องการให้เกิดการตั้งโรงงานใหม่ สำหรับค่ายรถยนต์ที่พร้อม ส่วนรถขนาดเล็กนำเข้าจากจีนมาตีตลาดรถราคาถูกไม่น่าจะทำได้ง่าย เพราะรถที่มาจากประเทศนอกอาเซียนจะต้องเสียภาษีอากรขาเข้า 80% และได้ตามมาตรฐานที่สมอ.กำหนด
บีโอไอยันเดินมาตรการหนุนรถอีโคคาร์มาถูกทางแล้ว ไม่แก้ไขหรือยืดหยุ่นอีกเพราะต้องการให้เกิดการตั้งโรงงานใหม่ สำหรับค่ายรถยนต์ที่พร้อม ส่วนรถขนาดเล็กนำเข้าจากจีนมาตีตลาดรถราคาถูกไม่น่าจะทำได้ง่าย เพราะรถที่มาจากประเทศนอกอาเซียนจะต้องเสียภาษีอากรขาเข้า 80% และได้ตามมาตรฐานที่สมอ.กำหนดบีโอไอ ยันไม่เปลี่ยนเงื่อนไขอีโคคาร์ เลือกค่ายที่พร้อมสุดส่งเสริมไม่ห่วงมาตรการล่มเพราะรถ |
. |
นายสาธิต ชาญเชาวน์กุล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ" ถึง กรณีที่มีรถยนต์บางค่ายเสนอให้บีโอไอยืดหยุ่นเงื่อนไขกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐาน สากลหรือรถอีโคคาร์ในเรื่องของปริมาณการผลิตที่กำหนดว่าจะต้องผลิตได้ 100,000 คันในปีที่5 ที่อาจจะกระทำได้ยาก หรือที่บางค่ายเสนอปรับขนาด 1,500 ซีซี ที่มีอยู่ แล้วมาเป็นรถอีโคคาร์นั้น บีโอไอไม่สามารถเห็นชอบได้ตามนั้น และจะไม่มีการแก้ไขเงื่อนไขที่ประกาศออกไปก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน เพราะเป้าหมายต้องการจะให้เกิดการลงทุนในกิจการใหม่ที่มีการกำหนดเงื่อนไขและหลักเกณฑ์ขึ้นมา เปิดช่องให้มีการลงทุน สำหรับค่ายรถยนต์ที่มีความพร้อมจริงๆ และมาตรากรเหล่านี้ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดี ที่บีโอไอ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงการคลังส่งเสริมให้มีรถประหยัดพลังงานเกิดขึ้นในประเทศไทย โดยเฉพาะกระทรวงการคลังที่พิจารณาให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิตรอีโคคาร์ในอตัรา 17%ก่อนหน้านี้ |
. |
ส่วนรถขนาดเล็กที่ เครือเจริญโภคภัณฑ์หรือซีพีจะนำเข้ามาจากจีนตามข่าวที่ออกมาก่อนหน้านั้นโดยมีแผนขยายธุรกิจนำเข้ารถยนต์นั่งขนาดเล็กจากประเทศจีนมาจำหน่ายในประเทศไทยในราคาถูกเร็วๆนี้ โดยร่วมทุนกับบริษัท เชอร์รี่ ออโตโมบิล ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ในจีนนั้น ถ้าเป็นการนำเข้าแบบสำเร็จรูปเข้ามาไม่น่าจะทำได้ง่าย เพราะรถที่มาจากประเทศนอกอาเซียนจะต้องเสียภาษีอากรขาเข้า 80% ซึ่งจีนยังไม่ได้อยู่ในข้อตกลงอาเซียน-จีน โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งจีนมองว่าจะแข่งขันกับค่ายยานยนต์จากญี่ปุ่นที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทยอยู่แล้วไม่ได้ และการนำเข้ามาจะต้องได้ตามมาตรฐานที่สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.)กำหนดไว้ด้วยคือมาตรฐานมลพิษจากท่อไอเสียใช้เทียบเท่ายูโร3 |
. |
ด้านนายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่าเสริมว่า หาก ซีพีจะนำเข้ารถยนต์ขนาดเล็กมาไม่น่าจะนำเข้ามาทั้งคัน เพราะต้องรับภาระภาษีอากรขาเข้าสูงถึง80% และแนวทางที่ซีพีจะทำได้คือนำเข้ามาเป็นชิ้นส่วนประกอบในไทยเพราะโดยวิธีนี้จะเสียภาษีอากรขาเข้าเพียง 30% เท่านั้น หรือซีพีอาจจะนำไปประกอบในประเทศในอาเซียน เช่น อินโดนีเซีย เมื่อส่งเป็นสำเร็จรูปมาขายในไทยก็จะเสียภาษีอากรขาเข้าเพียง 5% เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามรถที่ซีพีจะนำเข้ามาน่าจะเป็นกลุ่มที่มาแข่งในสเป็กส์ที่ต่างกันกับรถอีโคคาร์ที่บีโอไอให้การส่งเสริม |
. |
อนึ่ง เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2550 บอร์ดใหญ่บีโอไออนุมัติให้เปิดประเภทกิจการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐาน สากลหรือรถอีโคคาร์ โดยกำหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขไว้หลักๆ เช่น ผู้ขอรับส่งเสริมจะต้องเสนอการลงทุนเป็นโครงการรวม (Package) ประกอบด้วย โครงการประกอบรถยนต์ การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตหรือจัดหาชิ้นส่วนยานยนต์ และมีขนาดการลงทุนของโครงการรวมไม่น้อยกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งการประกอบรถยนต์และการผลิตชิ้นส่วน โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์สูงสุด ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและยกเว้นภาษีเงินได้ไม่เกิน 8 ปีในทุกเขตที่ตั้ง ทั้งการประกอบรถยนต์ (จำกัดวงเงินยกเว้นไม่เกินมูลค่าลงทุนของโครงการ) การผลิตเครื่องยนต์ และการผลิตชิ้นส่วนอื่น ๆ |
. |
นอกจากนี้ และจะต้องมีปริมาณการผลิตจริงไม่น้อยกว่า 100,000 คันต่อปี ตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป จะต้องเป็นรถยนต์ที่มีคุณสมบัติด้านการประหยัดพลังงานเชื้อเพลิง มีอัตราการใช้เชื้อเพลิงไม่เกิน 5.0 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร ด้านสิ่งแวดล้อมจะต้องมีมาตรฐานมลพิษ EURO 4 หรือสูงกว่า และมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ปล่อยจากท่อไอเสียไม่เกิน 120 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร ส่วนด้านความปลอดภัย จะต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันผู้โดยสาร กรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนด้านหน้าและด้านข้างของตัวรถ ตามมาตรฐาน UNECE Reg.94 และ Reg.95 ตามลำดับ เป็นต้น โดยบริษัทที่สนใจลงทุนโครงการผลิตรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล จะต้องยื่นคำขอรับส่งเสริมการลงทุนภายในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2550 นี้ |
. |
"ถ้าซีพีนำเข้ารถยนต์ขนาดเล็กสำเร็จรูปจากจีนมาไม่น่าจะทำได้ง่าย เพราะรถที่มาจากประเทศนอกอาเซียนจะต้องเสียภาษีอากรขาเข้า 80%" |
. |
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ |