พฤกษา เรียลเอสเตท ประกาศแผนธุรกิจปี 58 เพื่อเติบโตต่อเนื่อง โดยเน้นโครงการแนวราบ พร้อมพัฒนาคุณภาพบ้านและบริการเพื่อสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่ลูกค้า
นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แผนธุรกิจประจำปี 2558 ว่า “ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายยอดขาย 47,000 ล้านบาท และรายได้ 47,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ประมาณ20.2% และ 11.9% ตามลำดับ โดยประเมินภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ของปี 2558 น่าว่าจะกลับมาฟื้นตัว และเติบโตจากปี 2557 ประมาณ 10% โดยมีปัจจัยบวกคือ การลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ ที่เริ่มมีความชัดเจนโดยเฉพาะการเพิ่มส่วนต่อขยายของแนวรถไฟฟ้าไปย่านชานเมือง การมีข้อตกลงกับจีนและกำลังจะตกลงกับประเทศญี่ปุ่นในการสร้างรถไฟรางคู่หลายสายเชื่อมเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาคและส่วนกลาง การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งจะช่วยให้ตลาดที่อยู่อาศัยคึกคักตามไปด้วย”
ในปี 2558 ยังคงเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของพฤกษา ให้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในใจลูกค้า มุ่งสร้างสรรค์คุณค่าเพื่อลูกค้า (Create Value)โดยจากผลการศึกษาแนวโน้มพฤติกรรมการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคของหน่วยงาน Pruksa Innovation Center ทำให้บริษัทฯ มุ่งมั่นที่จะพัฒนาสร้างบ้านให้สอดคล้องกับเทรนด์ความต้องการใน 4 Consumer Mega Trends ได้แก่ บ้านที่แข็งแรงปลอดภัย บ้านที่ใส่ใจด้านสุขภาพ บ้านที่ลดการใช้พลังงาน และบ้านทันสมัย นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงต่อยอดรักษาคุณค่าของเทคโนโลยีพฤกษา พรีคาสท์ และ Pruksa REM เพื่อพัฒนาคุณภาพการก่อสร้าง ลดระยะเวลาการก่อสร้าง และลดการใช้แรงงาน ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถบริหารต้นทุนการก่อสร้างได้ดีขึ้น และลูกค้าได้รับบ้านที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น”
ด้าน นายเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า“เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจโดยภาพรวมในปี 2558 มีแนวโน้มที่ดีขึ้น การที่บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 47,000 ล้านบาท โดยเติบโต 11.9% จากปีที่ผ่านมาถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทาย โดยรายได้หลักยังคงเป็นกลุ่มโครงการแนวราบประมาณ 70% ในขณะที่ Business Cycle Time ของโครงการแนวราบสามารถบริหารได้ต่ำกว่า 90 วัน มี Backlog คงเหลือเพียงสิ้นปี 2557 คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 34,224 ล้านบาท โดยจะมีการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 70-75 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 55,000 – 61,000 ล้านบาท และทั้งยังจะมีรายได้จากโครงการเดิมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาอีก (Active Projects) รวม 177 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 78,536 ล้านบาท จึงมั่นใจได้ว่าเป้าหมายดังกล่าวจะสามารถบรรลุได้”