เนื้อหาวันที่ : 2014-08-22 10:26:10 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1852 views

AEC กางแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง รุกธุรกิจเต็มสูบ

เร่งขยายฐานลูกค้า เตรียมยื่นทำธุรกิจ Private Fund ใน Q4/57 นี้-วางเป้าผลประกอบการปีนี้พลิกมีกำไร

กอบเกียรติ บุญธีรวร” ซีอีโอ บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AECS) กางแผนธุรกิจในครึ่งปีหลัง เดินหน้ารุกธุรกิจอย่างเต็มสูบ เร่งขยายฐานลูกค้าทั้งบุคคลและสถาบัน เตรียมขยายสาขาต่อเนื่อง จากปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 9 สาขาทั่วประเทศ รองรับการบริการลูกค้าได้ทั่วถึง เผยปัจจุบันมีดีล IPO ในมือ 3-4 บริษัท มูลค่ารวม 7-8 พันล้านบาท คาดเข้าตลาดหุ้นภายในปีนี้ 2 บริษัท นอกจากนี้ยังเตรียมยื่นขอทำธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ในไตรมาส 4/2557 นี้ เพื่อให้บริการอย่างครบวงจร ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้โชว์กำไร

นายกอบเกียรติ บุญธีรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี จำกัด (มหาชน) (AECS) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าผลประกอบการในปี 2557 มีแนวโน้มที่จะมีกำไร เนื่องจากแผนการดำเนินธุรกิจเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในส่วนของธุรกิจโบรกเกอร์มีอัตราการเติบโตที่ดี โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) อยู่ที่ 2.1% เพิ่มขึ้นจากช่วงปลายปีก่อนที่มีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 0.5% นอกจากนี้ ยังได้ตั้งเป้าหมายมาร์เก็ตแชร์ในปีนี้อยู่ที่ 2.5% เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลัง บริษัทจะเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างเต็มที่ โดยมีแผนขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันมีสาขาทั้งสิ้น จำนวน 9 สาขา ได้แก่ สาขาสีลม (อาคารยูไนเต็ด เซ็นเตอร์), สาขาซอยศูนย์วิจัย, สาขาเซ็นทรัล ลาดพร้าว, สาขาประชาชื่น, สาขานครสวรรค์, สาขาเชียงใหม่-ถนนมหิดล, สาขาเชียงใหม่-ถนนช้างคลาน, สาขานครศรีธรรมราช และสาขาหาดใหญ่

นายกอบเกียรติ กล่าวว่า ในส่วนของธุรกิจโบรกเกอร์ บริษัทได้เร่งขยายฐานลูกค้าอย่างต่อเนื่องทั้งลูกค้าบุคคลและลูกค้าสถาบัน ทั้งนี้ตลาดหุ้นไทยที่มีทิศทางที่ดีขึ้น เชื่อว่าจะหนุนให้ธุรกิจขยายตัวตาม โดยในช่วงที่ผ่านมาฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ได้มีการโรดโชว์ เพื่อให้ข้อมูลกับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ AECS มีทีมงานวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำช่วยให้การทำตลาดได้ดีและง่ายขึ้น

ขณะเดียวกันบริษัทจะมุ่งเน้นงานด้านวาณิชธนกิจ (Investment Banking) โดยเฉพาะการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินการลงทุนทั้งตลาดในประเทศไทย และกลุ่มประเทศในตลาดอาเซียนอีกด้วย ซึ่งปัจจุบันมีหลายโครงการในมือ ทั้งการเป็นที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาฟื้นฟูปรับโครงสร้าง,ที่ปรึกษาทางการเงินและการลงทุน

นอกจากนี้ ยังมีดีลงานไอพีโอในมือ 3-4 ดีล มูลค่ารวมประมาณ 7-8 พันล้านบาท ซึ่งมีทั้งการเป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน โดยคาดว่าน่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหุ้นไทยได้ 1-2 บริษัทภายในไตรมาส 3 และ 4 ปีนี้

สำหรับธุรกิจตัวแทนนายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุนนั้น ขณะนี้เริ่มมีการทำธุรกรรมดังกล่าวมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันเป็นตัวแทนซื้อขายหน่วยลงทุนของ 15 บริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน คิดเป็นมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) ประมาณ 2.8 พันล้านบาท

นายกอบเกียรติ กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมยื่นขอทำธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) ในไตรมาส 4/2557 นี้ เพื่อกระจายฐานรายได้และรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ซึ่งปัจจุบันมีใบอนุญาตอยู่แล้ว เพียงแต่ขอให้ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) มาตรวจสอบความพร้อมเรื่องระบบให้เป็นไปตามเกณฑ์มาตรฐาน

“ผมคิดว่าการแข่งขันในธุรกิจหลักทรัพย์เป็นเรื่องปกติ แต่เราแข่งกับตัวเองมากกว่า ว่าจะทำอย่างไรให้ผลประกอบการดีขึ้น ซึ่งเราก็พยายามปรับปรุงคุณภาพการบริการ และเพิ่มสินค้าให้ลูกค้า มุ่งเน้นธุรกิจหลากหลายช่องทาง นอกเหนือจาก Brokerage เพื่อยกระดับการบริการเป็น Full service สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม อีกทั้งยังกระจายฐานรายได้ และสร้างผลประกอบการให้เติบโตอย่างยั่งยืน” นายกอบเกียรติ กล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เออีซี กล่าวอีกว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ฝ่ายวิเคราะห์บล.เออีซี ได้ประเมิน SET INDEX มีโอกาสขึ้นไปทดสอบที่ระดับ 1,760 จุด ซึ่งเป้าหมายดัชนีเทียบเท่าระดับ Forward PER และ PBV ที่ 17 เท่า และ 2.5 เท่าตามลำดับ เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว โดยคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในปี 2557 จะขยายตัว 2.9% และในปี 2558 กลับมาขยายตัวที่ 3.5-4% ซึ่งเป็นระดับการเติบโตระยะกลางของเศรษฐกิจไทย