ตลาดปาล์มน้ำมันส่อเค้าป่วน โรงสกัดขู่หยุดรับซื้อผลปาล์มจากเกษตรกร หลังโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ขออนุญาต กระทรวงพาณิชย์นำเข้าปาล์มน้ำมัน 50,000 ตัน แก้ปัญหาราคาในประเทศพุ่ง เผยผลจากราคาผลปาล์มที่เพิ่มขึ้นกิโลกรัมละ 5 บาท กระทบยาวเป็นลูกโซ่ถึงร้านค้าปลีก เริ่มงดซื้อน้ำมันปาล์มมาขายแล้ว ด้านกรมการค้าในแจงยังไม่มีการอนุญาตให้นำเข้า

นายสมชาย สุทธิรักษาวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดชุมพรและกรรมกรผู้จัดการ บริษัท สวีอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการที่มีความเคลื่อนไหวของโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ที่เตรียมยื่นขออนุญาตนำเข้าปาล์มน้ำมันจากต่างประเทศ จำนวน 50,000 ตัน โดยอ้างราคาต้นทุนภายในประเทศที่พุ่งสูงขึ้น ประมาณ 5 บาทต่อกิโลกรัม อีกทั้งเป็นการรักษาระดับโครงสร้างราคาไม่ให้ขยับสูงมากจนกระทบต่อผู้บริโภค ต่อกรณีดังกล่าวได้สอบถามไปยังโรงสกัดปาล์มน้ำมัน 20 กว่าโรงงาน ได้รับการยืนยันว่าจะหยุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรลงชั่วคราว หากทางกระทรวงอนุญาตให้มีการการนำเข้าปาล์มน้ำมันจำนวนดังกล่าว

ทั้งนี้หากทางกระทรวงพาณิชย์อนุญาตให้โรงกลั่นนำเข้าปาล์มน้ำมันตามโควตาดังกล่าว นอกจากจะส่งผลให้ราคาซื้อขายปาล์มน้ำมันภายในประเทศลดลงแล้ว ยังส่งผลต่อโรงสกัดปาล์มน้ำมันที่ได้รับซื้อผลปาล์มน้ำมันจากเกษตรกรก่อนหน้านี้ในราคาสูงถึง 4.40-4.70บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งทราบว่าขณะนี้มีสต็อกค้างอยู่ตามโรงสกัดต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 70,000-100,000 ตัน

ดังนั้นจะทำให้โรงสกัดทั้งหมดที่มีสต็อกเก่าค้างอยู่ประสบปัญหาขาดทุน ซึ่งจากการสอบถามไปยังโรงสกัดฯจำนวนกว่า 20 โรง เพื่อหาทางออกในเรื่องดังกล่าว ทั้งหมดจึงมีมติที่จะหยุดรับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรชั่วคราว หากทางกระทรวงพาณิชย์อนูญาตให้มีการนำเข้า โดยทางโรงสกัดมองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะนำปาล์มน้ำมันจากต่างประเทศเข้ามา ควรที่จะอุดหนุนและส่งเสริมผลผลิตในประเทศก่อน แม้ว่าราคาผลผลิตจะสูง แต่ก็เป็นไปตามกลไกความต้องการของตลาดที่ปีนี้ความต้องการใช้ผลปาล์มในการป้อนโรงงานอุตสาหกรรมมีสูงมาก

ต่อเรื่องนี้นายวิรัตน์ สมตน เกษตรจังหวัดระนอง เปิดเผยถึงสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันได้ขยับพุ่งสูงขึ้นทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี โดยราคาล่าสุดรับซื้อหน้าโรงงานอยู่ที่ 4.40-4.70 บาท และ 5 บาทในบางพื้นที่ ซึ่งราคาดังกล่าวถือเป็นราคาที่สูงมาก และสร้างความพอใจให้กับเกษตรกรชาวสวนปาล์มเป็นอย่างยิ่ง

ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ราคาปาล์มน้ำมันขยับสูงขึ้นในขณะนี้ เป็นเพราะ 4 ปัจจัยหลักที่สำคัญ ประการแรกปริมาณผลผลิตที่เข้าสู่ตลาดลดลงประมาณ 30% อันเป็นผลมาจากฤดูกาลผลิตของปาล์มที่ช่วงตั้งแต่เดือนเมษายน-กรกฎาคมปริมาณผลปาล์มที่ตัดเก็บได้จะน้อยกว่าช่วงอื่น ประกอบกับในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาโรงงานแปรรูปปาล์มน้ำมันกว่า 60% ได้มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม เพื่อรองรับพื้นที่การปลูกปาล์มและรองรับปริมาณการบริโภคภายในประเทศจาก 40 ตัน:ชม เป็น 60 ตัน: ชม.ทำให้แต่ละโรงงานจึงมีความต้องการวัตถุดิบเพิ่มขึ้น

ประการที่สองเป็นผลสืบเนื่องมาจากนโยบายการส่งเสริมไบโอดีเซลของภาครัฐ ทำให้ในหลายพื้นที่เริ่มมีโรงงานผลิตไบโอดีเซล ทั้งขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ซึ่งแต่ละโรงงานต้องการวัตถุดิบ คือ ผลปาล์มน้ำมันเข้าป้อนโรงงานเป็นจำนวนมาก ประการที่สาม ผลจากปัญหาความไม่สงบในชายแดนใต้ ทำให้การนำเข้าน้ำมันปาล์มจากมาเลเซีย ทั้งเข้ามาอย่างถูกต้อง และไม่ถูกต้องได้ลดจำนวนลงเป็นอย่างมาก

ประการที่สี่ กลุ่มพ่อค้าที่เคยนำเข้าสินค้าดังกล่าวได้หันมาสั่งซื้อน้ำมันปาล์มจากโรงงานภายในประเทศมากขึ้น เพื่อป้อนให้กับลูกค้าของตนเอง จึงยิ่งส่งผลให้สัดส่วนปริมาณความต้องการปาล์มน้ำมันไม่สมดุลกับพื้นที่การผลิต จึงเป็นตัวฉุดให้ราคาปาล์มน้ำมันขยับราคาพุ่งขึ้น ซึ่งมีแนวโน้มอาจจะถึง 5 บาท หากปริมาณความต้องการยังอยู่ในระดับปัจจุบันนี้ แต่ก็คงจะเป็นในระยะ 2-3 เดือนนี้ เมื่อปริมาณผลปาล์มเข้าสู่ตลาดมากขึ้น ราคาจะเริ่มขยับลดลง

นายพงษ์สิน วงสารณกิจ เจ้าของห้างสรรพสินค้า เค.ซี.มาร์ท จังหวัดระนองและร้านค้าส่งเค.ซ๊ เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับการแจ้งจากเจ้าของสินค้าประเภทน้ำมันปาล์มทุกยี่ห้อ อาทิ มรก แววโอลีน และหยกว่า จะมีการปรับราคาขายส่งมายังสมาชิกและร้านค้าจากเดิมที่ราคาขายส่งจากโรงงานโหลละ 300 บาท ปรับเป็นโหลละ 445 บาท ซึ่งจากการปรับราคาขายส่งดังกล่าว ส่งผลให้ร้านค้าจำเป็นต้องปรับราคาขายปลีกหน้าร้านเพิ่ม ซึ่งปัจจุบันราคาขายปลีกจะอยู่ที่ขวดละ 40 บาท จากเดิมที่ราคาขายปลีกอยู่ที่ 30-31 บาท ทำให้ทางร้านค้าหลายร้านแจ้งหยุดสั่งซื้อน้ำมันปาล์มชั่วคราว โดยอ้างว่าผู้บริโภคมีการต่อว่า เนื่องจากราคาขยับเพิ่มมากเกินไป จนเกรงจะเสียลูกค้า

ด้านนายศิริพล ยอดเมืองเจริญ อธิบดีกรมการค้าภายใน(คน.) กล่าวว่า ขณะนี้กรมการค้าภายในยังไม่ได้อนุญาตให้มีการนำเข้าปาล์มน้ำมันจากต่างประเทศ โดยล่าสุดมห้ทางโรงสกัดและโรงกลั่นน้ำมันปาล์มไปทำการตรวจสต็อกเก่าคงค้างว่า มีมากน้อยเพียงใด และจะสมเหตุสมผลในการอนญาตให้มีการนำเข้าหรือไม่ ซึ่งคงจะทราบข้อมูลที่แท้จริงในสัปดาห์หน้า ทั้งนี้ในการนำเข้าจะให้องค์การคลังสินค้า(อคส.)เป็นผู้นำเข้าแต่เพียงผู้เดียว และนำมาจัดสรรให้ผู้ประกอบการอีกต่อหนึ่ง 

ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ