วันนี้ได้รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งสำหรับปี 2556 โดยสินเชื่อขยายตัวในอัตรา 13.6% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14.1 พันล้านบาท
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) วันนี้ได้รายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งสำหรับปี 2556 โดยสินเชื่อขยายตัวในอัตรา 13.6% ขณะที่กำไรสุทธิอยู่ที่ 14.1 พันล้านบาท
เงินให้สินเชื่อเติบโตเพิ่มขึ้น 13.6% คิดเป็นสินเชื่อใหม่จำนวน 112.6 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับ ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2555 ทั้งนี้ สินเชื่อเพื่อรายย่อยเป็นแรงขับเคลื่อนหลักโดยสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน บัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเติบโตอย่างสมดุลที่ 15.4% ขณะที่สินเชื่อลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ และลูกค้าธุรกิจ SME เพิ่มขึ้น 14.9% และ 8.7% ตามลำดับ
เงินฝากเพิ่มขึ้น 11.2% คิดเป็นจำนวน 76.9 พันล้านบาท จากสิ้นเดือนธันวาคม 2555 สะท้อนถึงความต้องการอย่างต่อเนื่องของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์เงินฝากออมทรัพย์ของธนาคาร “ออมทรัพย์มีแต่ได้” และ “ออมทรัพย์จัดให้” รวมทั้งความสำเร็จของธนาคารในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เงินฝากประจำในปี 2556
ด้วยความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบระมัดระวัง ในเดือนมิถุนายน 2556 กรุงศรีได้ตั้งสำรองพิเศษเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2.6 พันล้านบาท เพื่อรองรับวัฏจักรธุรกิจและเศรษฐกิจขาลงซึ่งหากไม่รวมผลกระทบจากการตั้งสำรองพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิของปี 2556 จะอยู่ที่ 16.2 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.3% เมื่อเทียบกับปี 2555 ทั้งนี้ หลังจากการตั้งสำรองพิเศษ กำไรสุทธิสำหรับปี 2556 อยู่ที่จำนวน 14.1 พันล้านบาท หรือลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับปี 2555
ปัจจัยขับเคลื่อนผลกำไรสุทธิที่น่าพอใจของธนาคารมาจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ อันเป็นผลจากการเติบโตของเงินให้สินเชื่อ และการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการ และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ที่ปรับตัวดีขึ้น
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ปรับเพิ่มเป็น 4.37% แม้ต้องเผชิญภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในการระดมเงินฝาก
อนึ่ง คุณภาพของสินทรัพย์ของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งแม้จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง โดยมีอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 2.6%
นายโนริอากิ โกโตะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แม้จะต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจที่ท้าท้ายในปีที่ผ่านมา เงินให้สินเชื่อของกรุงศรีเติบโตอย่างแข็งแกร่งและครอบคลุมในทุกกลุ่มธุรกิจ สะท้อนถึงยุทธศาสตร์การกระจายความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิได้เพิ่มสูงขึ้น 14.3% เมื่อเทียบกับปี 2555 เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากค่าธรรมเนียม ธุรกิจบริหารเงินทุนและกองทุนของกรุงศรี”
“ในปี 2556 ที่ผ่านมา กรุงศรีได้เข้าเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป (MUFG) กลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และเป็นหนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดระดับโลก นำมาสู่การเติบโตและโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น โดยจะเป็นการผนึกความแข็งแกร่งของกรุงศรีที่มีความโดดเด่นด้านสินเชื่อรายย่อย และสินเชื่อ SME เข้ากับกลุ่มมิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ซึ่งเชี่ยวชาญด้านธุรกิจขนาดใหญ่และมีเครือข่ายครอบคลุมทั่วโลก”
“สำหรับปี 2557 สภาพแวดล้อมในการดำเนินธุรกิจของประเทศยังคงเผชิญภาวะที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะยังมีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจจากปัจจัยทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและจากการแข่งขัน อย่างไรก็ดี กรุงศรีคาดว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวจากปี 2556 โดยมีปัจจัยขับเคลื่อนจากการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น กอปรกับการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตของสินเชื่อในระดับที่น่าพอใจ ทั้งนี้ กรุงศรีตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อรวมไว้ที่ 9% สำหรับปี 2557” นายโนริกล่าว
ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 กรุงศรีซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าในไทยมีสินเชื่อรวม 942.6 พันล้านบาท และสินทรัพย์รวม 1.18 ล้านล้านบาท ขณะที่เงินกองทุนของธนาคารยังคงระดับแข็งแกร่งเทียบเท่า 15.6% ของสินทรัพย์เสี่ยงโดยเป็นเงินกองทุนชั้นที่ 1 คิดเป็น 11.1%
สรุปสาระสำคัญของผลประกอบการ (ตามงบการเงินรวม) สำหรับปี 2556:
- การเติบโตของสินเชื่อ: เพิ่มขึ้น 13.6% คิดเป็นจำนวน 112.6 พันล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนธันวาคม 2555 และเพิ่มขึ้น 6.0% คิดเป็นจำนวน 53.4 พันล้านบาท จากสิ้นเดือนกันยายน 2556
- กำไรสุทธิ: หากไม่รวมผลกระทบจากการตั้งสำรองพิเศษจำนวน 2.6 พันล้านบาทในเดือนมิถุนายน 2556 กำไรสุทธิจะอยู่ที่จำนวน 16.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.3% จากปีก่อน ทั้งนี้หลังจากการตั้งสำรองพิเศษ กำไรสุทธิสำหรับปี 2556 อยู่ที่จำนวน 14.1 พันล้านบาท ลดลง 3.6% เมื่อเทียบกับปี 2555
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM): ปรับตัวดีขึ้นอยู่ที่ 4.37% แม้ต้องเผชิญภาวะ
การแข่งขันระดมเงินฝากที่รุนแรง
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้: อยู่ที่ 49.0% ในปี 2556 ปรับตัวดีขึ้นจาก 50.3% ในปี 2555
- อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อสินเชื่อรวม: อยู่ที่ 2.6%
- สัดส่วนเงินสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ: อยู่ที่ระดับ 141.7%
- รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิ: เพิ่มขึ้น 14.3%
- การเติบโตของเงินฝาก: เพิ่มขึ้นมากถึง 11.2% คิดเป็นจำนวน 76.9 พันล้านบาท
- อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง: อยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 15.6% ภายใต้บริบทของการขยายตัวของสินเชื่อที่สูง