จัดเต็มเพื่อแสดงนวัตกรรมทางเคมีเพื่อสร้างความยั่งยืน ด้วยการช่วยสร้างสมดุลของปัจจัยหลักคือ ทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม ตลอดจนความต้องการและความจำเป็นของสังคม
บีเอเอสเอฟ บริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายเคมีภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก ยกทัพนวัตกรรมจัดแสดงอย่างยิ่งใหญ่ในงาน BASF Technology Day 2013 ซึ่งจัดเมื่อวันที่ 19-20 กันยายนนี้ ในกรุงเทพฯ ณ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ โดยมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน อันได้แก่กลุ่มผู้ประกอบการสำคัญจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ของประเทศไทยและกลุ่มผู้เกี่ยวข้องทางธุรกิจภายนอกอื่น ๆ ที่จะได้ประจักษ์ว่าบีเอเอสเอฟได้ทำให้เป้าหมายขององค์กรคือ “เราสร้างเคมี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” เป็นรูปธรรมอย่างชัดเจนและสามารถช่วยให้อุตสาหกรรมหลักของประเทศไทยก้าวไปสู่ความยั่งยืนร่วมกันได้อย่างไร
การเติบโตอย่างรวดเร็วของปริมาณความต้องการเพื่อการดำรงชีวิต ประจำวัน กำลังเพิ่มความตึงเครียดต่อการตอบสนองความต้องการนั้นให้ได้อย่างเพียงพอด้วยทรัพยากรที่มีอยู่บนโลกของเรา ซึ่งความจริงที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ เราได้บริโภคสิ่งต่าง ๆ ในปริมาณที่มากเกินกว่าที่โลกของเราจะสร้างขึ้นใหม่ได้ ดังนั้นเรื่องความยั่งยืน หรือ Sustainability จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับอนาคต ซึ่งไม่เพียงแต่สำหรับบีเอเอสเอฟเท่านั้น แต่ยังสำหรับประชากรโลกทั้งหมดอีกด้วย” กล่าวโดย นายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท บีเอเอสเอฟ ในประเทศไทย
ในงาน BASF Technology Day 2013 นั้นนอกจากจะมีนิทรรศการที่แสดงเทคโนโลยี ล่าสุดและโซลูชั่นที่ล้ำหน้าจากบีเอเอสเอฟ ที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมหลักต่าง ๆ ได้แก่ อุตสาหรรมยานยนต์ อาหารและเกษตรกรรม การก่อสร้าง ผู้บริโภค บรรจุภัณฑ์ สีและการเคลือบสี ตลอดจนถึงพลังงานทดแทนแล้ว ยังมีการจัดเวทีเสวนาที่ ผู้บริหารจากบริษัทชั้นนำระดับโลกได้มาแสดงทัศนะเกี่ยวกับความสำเร็จ ความท้าทาย และแนวทางในอนาคตของความยั่งยืนในองค์กรของตน นอกจากนี้ยังมีการปาฐกถาพิเศษโดยผู้บริหารของบีเอเอสเอฟถึงโอกาส และความก้าวหน้าในอาชีพทางด้านวิทยาศาตร์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานสำคัญของการพัฒนาและการเติบโตอย่างยั่งยืนของประเทศไทยอีกด้วย
สำหรับบีเอเอสเอฟนั้น เราเข้าใจถึงความยั่งยืนซึ่งจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการสร้างสมดุลของความจำเป็นและความต้องการที่ต้องประกอบด้วยปัจจัยหลักทั้ง 3 ประการคือ ปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม เราจึงสร้างความยั่งยืนให้เกิดขึ้นด้วยการร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับลูกค้าของเราและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง” กล่าวโดยนายบุญชัย โอภาสเอี่ยมลิขิต ซึ่งบีเอเอสเอฟและลูกค้าก็คือ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ได้ประกาศในงานแถลงข่าวซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่าซีพีเอฟคือ ผู้ผลิตไก่สดรายแรกของโลกที่ได้รับการรับรองถึงระบบการบริหารอย่างต่อเนื่องเพื่อความยั่งยืนตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
โดยซีพีเอฟได้รับการรับรอง ProSustain Standard จาก Det Norske Veritas (DNV) ซึ่งเป็นองค์กรที่ให้การรับรองผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนระดับโลก ทั้งนี้ซีพีเอฟได้รับคำปรึกษาอย่างใกล้ชิดและใช้เครื่องมือที่พัฒนาขึ้นโดยบีเอเอสเอฟ ซึ่งก็คือ SET ในการพัฒนาไปสู่ผลิตภัณฑ์ซีพีเอฟที่ยั่งยืน ซึ่งการได้รับการรับรอง ProSustain Standard นี้ได้แสดงถึงความมุ่งมั่นต่อพันธกิจแห่งความยั่งยืนของซีพีเอฟที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งหมด เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืนโดยยึดถือความสมดุลของสังคม สิ่งแวดล้อม และเศรษฐกิจ ตลอดจนถึงความโปร่งใส
นิทรรศการแสดงโซลูชั่นต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์โดยบีเอเอสเอฟเพื่อความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรม มีดังนี้
- บูธอุตสาหกรรมรถยนต์ แสดงถึงการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีและวัสดุเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ และลดการใช้พลังงานของยานยนต์ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เพิ่มความสะดวกสบายในการขับขี่ และ “Sit Down.Move” ถือเป็นแนวคิดแบบองค์รวม เพื่อตอบสนองการเดินทางภายในเมืองอย่างยั่งยืน ที่ถึงพร้อมด้วยเทคโนโลยีที่สร้างสรรค์อย่างชาญฉลาด
- บูธอุตสาหกรรมอาหารและเกษตรกรรม – บีเอเอสเอฟสร้างสรรค์นวัตกรรม ต่าง ๆ สำหรับทั้งห่วงโซ่อุปทานเริ่มตั้งแต่ฟาร์มจนถึงโต๊ะอาหารของผู้บริโภค เพื่อให้มั่นใจได้ว่าภายในปี 2593 ซึ่งจะมีประชากรจำนวน 9,000 ล้านคน จะมีชีวิตอยู่และมีสุขภาพที่ดี ซึ่งนวัตกรรมไฮไลท์นั้น ได้แก่ ระบบการผลิต Clearfield® ที่จะช่วยในการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผล, Natuphos® และ Natugrain® เป็นเอนไซม์อาหารสัตว์ประสิทธิภาพสูงที่ช่วยให้สัตว์สามารถรับสารอาหารจากอาหารสัตว์มากขึ้น จึงช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, Crosspure® ใช้ในกระบวนการกรองเพื่อรักษาความคงตัวของเบียร์ซึ่งทำให้เบียร์คงความใสและไม่ตกตะกอนตลอดอายุการเก็บรักษา นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนและปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต
- บูธอุตสาหกรรมการก่อสร้าง - นำเสนอโซลูชั่นที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและความคุ้มค่าทางด้านเศรษฐกิจ ให้กับการก่อสร้างอย่างยั่งยืน โดยการลดการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ และการใช้พลังงาน ตลอดจนถึงการยืดอายุการใช้งานให้กับอาคาร และทำให้กระบวนการก่อสร้างเสร็จเร็วยิ่งขึ้น ซึ่งโซลูชั่นสำหรับการก่อสร้างอย่างยั่งยืนของ บีเอเอสเอฟนี้สามารถใช้ได้กับระบบการก่อสร้างทั้งหมดของโครงการรถไฟความเร็วสูง
- บูธอุตสาหกรรมเพื่อผู้บริโภค - บีเอเอสเอฟเพิ่มความอยู่ดีมีสุขในการดำรงชีวิตประจำวัน โดยการมอบโซลูชั่นที่มีประสิทธิภาพสูงในรูปของส่วนผสมสำหรับผลิตภัณฑ์สุขอนามัย ผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลตนเองในชีวิตประจำวัน ผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงรักษาบ้านเรือน และเพื่อสุขภาพ สำหรับผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ซึ่งแสดงอยู่ในบูธ นอกจากจะเหมาะสมกับวิถีชีวิตของผู้บริโภคในทุกวันนี้แล้ว ยังช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงาน เพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดี และการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งได้แก่ Plantaquart® NC, Lutropur® MSA และ HySorb®
- บูธอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ - นำเสนอโซลูชั่นอย่างครบวงจรที่ครอบคลุมทุกความต้องการของอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ได้แก่ ความยั่งยืน การลดต้นทุน การสร้างความแตกต่าง ณ จุดขาย การปกป้องผลิตภัณฑ์ และความสะดวกสบาย สำหรับโซลูชั่นสำคัญที่จัดแสดงได้แก่ ecovio® พลาสติกชีวภาพ, Hexamoll® DINCH®, Ultramid® โพลีเอไมด์ คุณภาพสูงที่สามารถใช้ได้ดีกับผลิตภัณฑ์ในหลากหลายอุตสาหกรรม ทั้งอาหาร เครื่องสำอาง และเครื่องดื่ม
- บูธอุตสาหกรรมสีและการเคลือบสี - บีเอเอสเอฟปกป้องทุกชีวิตและสิ่งแวดล้อม ด้วยโซลูชั่นด้านสีและสารเคลือบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยการใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่เป็นวอเตอร์เบส และยูวี ซึ่งพัฒนาตั้งแต่การผลิต การจัดเก็บ จนถึงการนำไปใช้ ที่เริ่มจากโรงงานผลิตเรซิ่น และผู้ผลิตสี ไปจนถึงแนวทางในการใช้ทรัพยากรอย่างประหยัดเพื่อเพิ่มคุณค่าได้ตั้งแต่เริ่มต้น จนเป็นสีสำเร็จ
- บูธ Verbund และพลังงานทดแทน - บีเอเอสเอฟนำเสนอโซลูชั่นทางด้านเคมีสำหรับระบบพลังงานแสงอาทิตย์และโซลูชั่นสำหรับปรับปรุงคุณภาพของน้ำดื่ม ตลอดจนการบำบัดน้ำเสียและน้ำที่ปล่อยออกมาจากอุตสาหกรรมต่าง ๆ สำหรับ Verbund นั้นถือเป็นจุดแข็งที่เป็นเอกลักษณ์พิเศษของบีเอเอสเอฟ ซึ่งเรามีโรงงานแบบ Verbund อยู่ทั่วโลก 6 แห่ง และโรงงานอื่น ๆ อีกกว่า 380 แห่ง ซึ่งโรงงานแบบ Verbund คือโรงงานการผลิตขนาดใหญ่ที่บูรณาการอย่างครบวงจรเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างสูงสุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการจัดการทางด้านทรัพยากรและพลังงาน นอกจากนี้สิ่งที่เป็นผลพลอยได้จากโรงงานหนึ่งจะถูกใช้เป็นวัสดุตั้งต้นในการผลิตของโรงงานอีกแห่งหนึ่ง จึงทำให้กระบวนการผลิตเคมีใช้พลังงานน้อยลง สามารถเพิ่มผลผลิตและอนุรักษ์ทรัพยากรได้อย่างสูง