เนื้อหาวันที่ : 2013-08-15 10:02:52 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1421 views

พีดีเฮ้าส์ ไม่หวั่นการเมือง เศรษฐกิจขาลง

พีดีเฮ้าส์ ไม่หวั่นการเมือง-ศก.ขาลง ยันปี 56 เป้ายอดขาย 1.4 พันล้านไม่วืด

 พีดีเฮ้าส์ เผยเดือนกค.กวาดยอดขายสูงสุดในรอบปีเกือบ 200 ล้านบาท สวนทางตลาดรวมซบเซา ชี้ผลสำเร็จเกิดจาก 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1)ขยายสาขาต่างจังหวัดทั่วประเทศ 2)ขับเคลื่อนด้วยระบบแฟรนไชส์ 3)ชูผู้นำบ้านอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเมินครึ่งปีหลังตลาดตจว.ยังขยายตัวได้ดี ขณะที่ตลาดกทม.แค่ทรงตัว ด้านนายกส.ไทยรับสร้างบ้าน แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวเองเชิงรุก เตรียมพร้อมรับมือการแข่งขันเมื่อปทท.ก้าวสู่เออีซี

นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิโฮม เปิดเผยว่า เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมากลุ่มบริษัทในเครือพีดีเฮ้าส์ สามารถทำยอดขายรวมได้เกือบ 200 ล้านบาท ถือว่ามากที่สุดในรอบ 7 เดือนของปีนี้ สวนทางกับผู้ประกอบการายอื่นๆ ในตลาดที่ส่วนใหญ่ยอดขายซบเซาหรือต่ำกว่าเป้าที่คาดไว้

ทั้งนี้การที่ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตนั้นเหตุผลสำคัญๆ คือ ประการแรก บริษัทฯ ได้ปรับตัวเองด้วยการหันไปบุกเบิกตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดในช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการแล้วมากถึง 34 สาขา ประการที่ 2 การนำกลยุทธ์สร้างเครือข่ายธุรกิจภายใต้ระบบแฟรนไชส์ และการสื่อสารแบรนด์กับผู้บริโภคมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประการสุดท้าย การวางตำแหน่งทางการตลาดในฐานะผู้นำเรื่องบ้านอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งหมดส่งผลให้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางเมืองและเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ โดยบริษัทฯ ยังคงเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 1.4 พันล้านบาทเท่าเดิม


สำหรับ แนวโน้มภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในอีก 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ประเมินว่ายังสามารถขยายตัวได้ดีเมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว โดยเป็นการเติบโตจากตลาดในภูมิภาคหรือต่างจังหวัดเป็นหลัก ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้น ประเมินว่า มูลค่าตลาดใกล้เคียงกับปีก่อนหรือแค่ทรงตัว เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองไม่เอื้อต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเองก็ต้องแก้ปัญหาปัญหาขาดแคลนแรงงานที่ยังรุนแรง รวมทั้งเผชิญกับปัญหาราคาขยับขึ้นหลายครั้งในครึ่งปีแรก ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนทั้งค่าวัสดุและค่าแรงที่สูงขึ้น นอกจากนี้ แรงงานที่ขาดแคลนยังส่งให้งานก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนงานหรือสัญญาฯ หลายๆ รายจึงประสบปัญหาขาดทุน

นายพิศาล กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับภาพรวมการแข่งขันในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะแข่งกันรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะรายเล็กรายกลางที่จำเป็นต้องมียอดขายและรายได้มาหล่อเลี้ยงธุรกิจ อาจจะเสี่ยงใช้วิธีตัดราคาเพื่อแข่งกับรายที่ใหญ่กว่าบางรายที่เน้นราคาถูก แต่ทั้งหมดจะยังเป็นการแข่งขันกันในตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑลเกือบทั้งหมด สำหรับบริษัทฯ เองคงไม่กระโดดลงไปเล่นสงครามราคาด้วย แต่จะหันมาเน้นการจับมือกับพันธมิตรธุรกิจวัสดุก่อสร้าง เพื่อเลือกสรรแต่วัสดุที่มีดีไซน์และมีคุณภาพ สำหรับนำมาใช้สร้างบ้านให้ลูกค้าทุกรายแทนการแข่งขันราคา