เอสซีจีแถลงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2556 เดินหน้าลงทุนต่อเนื่อง เชื่อมั่นอาเซียนเติบโตอย่างยั่งยืน
ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาสที่สอง มีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ประกาศเดินหน้าลงทุน 2,150 ล้านบาท ทั้งในและต่างประเทศ ขยายกำลังผลิต และพัฒนาสินค้า HVA ในธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง พร้อมปรับโครงสร้างการลงทุนขับเคลื่อนธุรกิจในภูมิภาค เชื่อมั่นอาเซียนแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่างบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่สอง ปี 2556 มีรายได้จากการขาย 106,541 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายปูนซีเมนต์ในประเทศและสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มสูงขึ้น แต่ลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน มีกำไรสำหรับงวด 9,924 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 132 จากปีก่อน เนื่องจากการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์ ปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และจากเงินปันผลรับที่ได้จากธุรกิจเอสซีจี การลงทุน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากไตรมาสก่อน
ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 เอสซีจี มีรายได้จากการขาย 215,980 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นในหลายธุรกิจ มีกำไรสำหรับงวด 18,720 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และธุรกิจเคมีภัณฑ์ที่ฟื้นตัวจากช่วงขาลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2555
สำหรับธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 มีรายได้จากการขาย 17,788 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ในไตรมาสที่สองของปี 2556 ธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย มีรายได้จากการขาย 9,506 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 9 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการควบรวมกิจการกระเบื้องเซรามิกในประเทศเวียดนาม ทั้งนี้ เอสซีจี มีสินทรัพย์รวมในอาเซียน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 มูลค่า 64,388 ล้านบาท หรือประมาณร้อยละ 15 ของสินทรัพย์รวมของบริษัท สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 มีมูลค่า 420,011 ล้านบาท
ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 ปี 2556 แยกตามรายธุรกิจดังนี้
เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 52,359 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายโอเลฟินส์ที่เพิ่มขึ้น แต่ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,640 ล้านบาท ใกล้เคียงกับไตรมาสก่อน
เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 14,340 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลจากปริมาณความต้องการภายในประเทศของกลุ่มธุรกิจกระดาษอุตสาหกรรมและบรรจุภัณฑ์ และธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียนชะลอตัวลง มีกำไรสำหรับงวด 1,032 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 23 จากไตรมาสก่อน
เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขายในไตรมาสที่สอง 42,127 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และการรับรู้รายได้จากกิจการเซรามิกในประเทศเวียดนาม แต่ลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยตามฤดูกาล โดยมีกำไรสำหรับงวด 3,389 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลงร้อยละ 16 จากไตรมาสก่อน
คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในครึ่งปีแรกของปี 2556 ในอัตรา 5.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงิน 6,600 ล้านบาท และมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 29 สิงหาคม 2556 โดยวันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิ์รับเงินปันผล (Record date) คือวันที่ 14 สิงหาคม 2556 และวันปิดสมุดทะเบียนรวบรวมรายชื่อเพื่อสิทธิ์ในการรับเงินปันผล คือ วันที่ 15 สิงหาคม 2556
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า เอสซีจี ยังเดินหน้าขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติงบลงทุนมูลค่ารวม 2,150 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการผลิตแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (MG Stone-Slabs) ของบริษัทเซรามิคอุตสาหกรรมไทย จำกัด ในเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กำลังการผลิต 400,000 ตารางเมตรต่อปี โครงการตั้งอยู่ใน จ.สระบุรี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ภายในกลางปี 2557 การลงทุนนี้เป็นส่วนหนึ่งของการมุ่งผลักดันยอดขายสินค้า HVA เนื่องจากแผ่นหินประดิษฐ์ขนาดใหญ่ (MG Stone-Slabs) เป็นวัสดุที่มีลวดลายสวยงามเสมือนหินหายาก แต่มีคุณสมบัติที่เหนือกว่า คือมีความแข็งแรงสูง ดูแลรักษาง่าย อีกทั้งสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานประเภทต่าง ๆ ได้ง่าย และโครงการปรับโครงสร้างการลงทุนของกลุ่มธุรกิจกระเบื้องหลังคาคอนกรีตซีแพคโมเนีย โดยยกเลิกการร่วมทุนกับ Monier Group Services GmbH (Monier) และซื้อหุ้นที่ Monier ถืออยู่ทั้งหมดในธุรกิจกระเบื้องหลังคาคอนกรีตและกระเบื้องหลังคาเซรามิก ในประเทศไทย ฟิลิปปินส์ กัมพูชา เวียดนาม และลาว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2556
แม้หลายฝ่ายจะเกิดความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของอาเซียนที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง แต่เราเชื่อมั่นว่าในระยะยาวอาเซียนยังคงเป็นภูมิภาคที่น่าลงทุน มีความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างยั่งยืน เอสซีจี จึงเดินหน้าขยายการลงทุนในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ตามวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ล่าสุด โครงการโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในพม่าได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลพม่าแล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่ออนุมัติงบลงทุน โดยการลงทุนครั้งนี้จะสามารถตอบสนองความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในพม่าที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น และช่วยยกระดับความเป็นผู้นำธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในอาเซียนของเอสซีจี” นายกานต์ กล่าว