เนื้อหาวันที่ : 2007-06-19 09:04:33 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1599 views

ทางออก...ของคนไทยในยุคน้ำมันแพง !!!

ในขณะที่พลังงานที่คุ้นเคยอย่างน้ำมันซึ่งราคาสูงกำลังกลายเป็นตัวปัญหา ทางออกของคนไทยในยุคนี้คงจะหนีไม่พ้น ที่จะหาหนทางหรือวิธีลดการใช้พลังงานในภาคการผลิต หรือในชีวิตประจำวัน โดยการใช้พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน

ความผันผวนของราคาพลังงานในตลาดโลก  โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบในปัจจุบัน ได้กลายเป็นปัญหาหลักทั่วโลก ของภาคอุตสาหกรรมและส่งผลกระทบโดยตรงกับต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น  ผู้ประกอบการทุกราย ทุกขนาด ต่างขวนขวายหากลยุทธ์เพื่อบริหารจัดการลดต้นทุนด้านพลังงานที่เพิ่มขึ้นตามราคาน้ำมัน  ไม่ว่าจะเป็นการจัดระบบการขนส่งให้มีประสิทธิภาพ  การลดกำลังการผลิต  หรือแม้กระทั่งการที่รัฐบาลมีนโยบายในการผลักดันให้เกิดโครงการรถยนต์ขนาดเล็กประหยัดพลังงาน หรือ อีโคคาร์  ซึ่งเป็นความหวังของรถยนต์ในยุคน้ำมันแพง  ที่ขณะนี้กำลังใกล้คลอดและเริ่มเห็นเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น  หลังจากที่คณะรัฐมนตรีเห็นชอบ และสรุปโครงสร้างการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตไว้ที่ 17% โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 ตุลาคม 2552นี้

.

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทางภาครัฐพยายามผลักดันให้เกิดโครงการใหม่ ๆที่รองรับความต้องการในปัจจุบันอย่างอีโคคาร์ให้กลับขึ้นมาอีกครั้ง  ซึ่งเป็นความหวังของประชาชนทั่วไปที่ต้องการมีรถยนต์ขนาดเล็ก ราคาประหยัด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมาใช้ในยามที่ราคาน้ำมันแพงลิตรละเกือบ 30 บาท 

.

ในขณะที่พลังงานที่คุ้นเคยอย่างน้ำมันซึ่งราคาสูงกำลังกลายเป็นตัวปัญหา  ทางออกของคนไทยในยุคนี้คงจะหนีไม่พ้น ที่จะหาหนทางหรือวิธีลดการใช้พลังงานในภาคการผลิต หรือในชีวิตประจำวัน  โดยการใช้พลังงานทางเลือก พลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็น ก๊าซธรรมชาติ  ไบโอดีเซล ก๊าซเอ็นจีวี  รถยนต์พลังงานแสงอาทิตย์   การผลักดันให้เกิดโครงการอีโคคาร์ รวมไปถึงการลดการใช้น้ำมันในภาคการขนส่ง โดยให้ผู้ขับขี่รถยนต์  ผู้ประกอบการกิจการขนส่ง หันไปใช้แก๊สธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงทดแทนน้ำมัน  เพราะมีราคาถูกกว่า ใช้แล้วไม่มีปัญหาเกิดขึ้นกับเครื่องยนต์     

.

อย่างไรก็ตามด้วยสภาวะวิกฤติราคาน้ำมันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลทำให้ผู้ประกอบการไม่ได้คาดหวังจะให้พลังงานทดแทนเป็นตัวช่วยทั้งหมด หรือมาแทนที่พลังงานที่ใช้อยู่เดิม หลายรายคาดหวังเพียงผ่อนหนักให้เป็นเบา  โดยการนำเอาอุปกรณ์  ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ นวัตกรรมและเทคโนโลยีต่างๆ มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น  รวมถึงผู้ประกอบการชิ้นส่วนยานยนต์ไทยในปัจจุบันได้มีการพัฒนาการผลิตชิ้นส่วนหรือนวัตกรรมใหม่ๆ นี้มาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นแรงเสริมในการประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่าย  อันที่จริงแล้วคนไทยสามารถผลิตชิ้นส่วนที่ได้คุณภาพจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก   แต่การหาตลาดในต่างประเทศนั้น  ไม่ใช่เรื่องง่าย  การเปิดตลาดกับคู่ค้ารายใหญ่  หรือหาผู้ซื้อที่ตรงกันนั้นเป็นเรื่องที่ยากมากกว่า    

.

ข่าวดีก็คือ ผู้ประกอบการชาวไทยกำลังจะมีทางเลือกในการแก้ปัญหาข้างต้น โดยประเทศไทยจะมีโอกาสเป็นเจ้าภาพจัดงาน Automechanika Thailand 2008 ขึ้นเป็นครั้งที่สองนับจากปี 2549 ซึ่งงาน Automechanika Thailand 2008 นี้ จัดขึ้นโดยความร่วมมือของบริษัท International Promotion & Exhibition Co., Ltd. หรือ IPEX    และ Messe Frankfurt (HK) Ltd  บริษัทชั้นนำในการจัดงานแสดงสินค้าระดับโลก  งาน Automechanika เป็นหนึ่งในสุดยอดงานแสดงสินค้าด้านชิ้นส่วนยานยนต์ ของโลก ซึ่งจัดกระจายอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นแฟรงค์เฟิร์ต อิสตันบูล เซี่ยงไฮ้ เม็กซิโก เป็นต้น  ตลอดมางาน Automechanika เป็นเสมือนศูนย์กลางเทคโนโลยีชิ้นส่วนยานยนต์  แหล่งพบปะแลกเปลี่ยนทางธุรกิจที่เหมาะสม  ไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิต ผู้ซื้อ ตัวแทนจำหน่ายก็ตาม

.

งาน Automechanika Thailand 2008 จะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 6 – 9 มีนาคม พ.ศ. 2551             ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพค เมืองทองธานี   โดยในงานจัดแบ่งออกเป็นโซนต่างๆ  6 โซน  ครอบคลุมธุรกิจ เทคโนโลยีหลักของอุตสาหกรรม ดังนี้  1. กลุ่มชิ้นส่วนและระบบ 2. กลุ่มอุปกรณ์ตกแต่งและการปรับระบบ   3.กลุ่มสินค้าสำหรับงานซ่อมและการบำรุงรักษา 4. กลุ่มสินค้าสำหรับศูนย์บริการและล้างรถ   5.กลุ่มสินค้าชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์   6. ระบบไอทีในรถยนต์  ซึ่งสองกลุ่มหลังเป็นโซนใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาพิเศษในปีนี้ เพื่อตอบสนองการขยายตัวของการใช้รถจักรยานยนต์ในแถบเอเชีย  และอุตสาหกรรมไอทีในระบบรถยนต์

.

งาน  Automechanika  เป็นงานแสดงสินค้าชิ้นส่วนยานยนต์ที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก  เป็นงานใหญ่ที่คนในวงการอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลกรู้จัก ไม่เพียงเท่านั้น Automechanika Thailand 2008  ยังได้รับความร่วมมือและแรงสนับสนุนจากภาครัฐและเอกชน เต็มที่ โดยมีผู้ให้การสนับสนุนดังนี้  กระทรวงอุตสาหกรรม  กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม  หน่วย BUILD ของบีโอไอ  สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ  สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ไทย สถาบันไทยเยอรมัน สถาบันยานยนต์ เป็นต้น   งานนี้ถือเป็นการรวบรวมนักธุรกิจ ผู้ประกอบการในวงการอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์จากทุกมุมโลก  เข้ามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้านเทคโนโลยี  ตลอดจนการเจรจาซื้อขายธุรกิจ   จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการไทย ที่จะใช้เวทีนี้เป็นประตูการค้า และเปิดช่องทางการตลาดเพื่อต่อยอดธุรกิจให้เติบโตระดับนานาชาติ  ตลอดจนสร้างเสริมศักยภาพทางการแข่งขันกับประเทศต่าง ๆ  เพื่อก้าวไปสู่ตลาดโลกในอนาคต