ขยายโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ปราจีนบุรีเพิ่มอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 223 เมกะวัตต์ เสริมทัพการเป็นผู้นำโรงไฟฟ้าชีวมวล
เอ็นพีเอส ในกลุ่มดั๊บเบิ้ล เอ เพาเวอร์ ขยายโรงไฟฟ้าชีวมวลที่ปราจีนบุรีเพิ่มอีก 2 แห่ง กำลังการผลิตรวม 223 เมกะวัตต์ เสริมทัพการเป็นผู้นำโรงไฟฟ้าชีวมวลที่มีกำลังการผลิตสูงสุดในประเทศ และสร้างความมั่นคงทางด้านพลังงานให้กับประเทศ คาดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 57 และ 58 ดันประมาณการรายได้เอ็นพีเอสเพิ่มเป็น 17,850 ล้านบาทต่อปี พร้อมโชว์กำไรสุทธิไตรมาสแรก 371 ล้านบาท
นายอภิชัย ซอปิติพร รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็นพีเอส เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส 1/2556 ที่ผ่านมา มีรายได้ 3,014 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากรายได้ 2,642 ล้านบาทในไตรมาส 1/2555 คิดเป็นกำไรสุทธิ 371 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 94% จาก 192 ล้านบาทในไตรมาส 1/2555 ทั้งนี้เนื่องมาจากการบริหารจัดการเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทฯ มีรายได้และกำไรที่สูงขึ้น
ปัจจุบันเอ็นพีเอส มีโรงไฟฟ้าที่ดำเนินการผลิตไฟฟ้าแล้วทั้งหมด 8 โรง กำลังการผลิตรวม 493 เมกะวัตต์ ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีโรงไฟฟ้าที่ใช้ชีวมวลเป็นเชื้อเพลิง มีกำลังการผลิตรวมสูงสุดของประเทศ โดยมีกลุ่มลูกค้าหลัก ได้แก่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ภายใต้สัญญาการรับซื้อไฟฟ้าระยะยาว 25 ปี ลูกค้าอุตสาหกรรมจากสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ปราจีนบุรี และบริษัท ดั๊บเบิ้ล เอ (1991) จำกัด (มหาชน) เรามีความเชื่อมั่นว่าเอ็นพีเอสจะเป็นกลุ่มธุรกิจพลังงานที่มีการเติบโตทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากรายได้และกำไรที่เพิ่มสูงขึ้น และเอ็นพีเอส ยังมีโครงการสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ 2 โรง เป็นโรงไฟฟ้าชีวมวลซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างในเขตสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค จ.ปราจีนบุรี ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้า 9 ขนาดกำลังการผลิต 125 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้า 5A ขนาดกำลังการผลิต 98 เมกะวัตต์” นายอภิชัย กล่าว
โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 9 ขณะนี้มีความคืบหน้าการก่อสร้างไปแล้วราว 30% ส่วนที่แล้วเสร็จเป็นงานด้านการออกแบบทางวิศวกรรม การเตรียมวัสดุสำหรับการผลิตชิ้นส่วนเครื่องจักรหลัก และคาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จสามารถเริ่มผลิตไฟฟ้าได้ในไตรมาส 4 ปี 2557 โดยกลุ่มลูกค้าที่เราจะจำหน่ายกระแสไฟฟ้าให้ ได้แก่ ลูกค้าในสวนอุตสาหกรรม 304 อินดัสเตรียล ปาร์ค และบริษัทในเครือดั๊บเบิ้ล เอ สำหรับในปี 2558 โรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้ จะสร้างรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าในปีแรกประมาณ 3,000 ล้านบาท และเมื่อผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิตในปี 2559 จะทำให้รายได้เติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 ล้านบาท รวมทั้งมีรายได้จากการขายไอน้ำเพิ่มเติมอีกประมาณ 10%
นายอภิชัย กล่าวต่อไปว่า โรงไฟฟ้า 9 จะใช้เชื้อเพลิงชีวมวลทั้งหมด คือ ใช้ชิ้นไม้สับจากปลายไม้ และต้นพลังงาน ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ที่เอ็นพีเอสวิจัยและพัฒนาให้มีคุณสมบัติเหมาะกับการนำมาเป็นเชื้อเพลิงผลิตกระแสไฟฟ้า เนื่องจากต้นพลังงานให้ค่าความร้อนสูง ใช้เวลาปลูกเพียง 2-3 ปี ก็สามารถนำมาผลิตไฟฟ้าได้ โดยมีความต้องการใช้ประมาณ 950,000 ตันต่อปี ซึ่งทางบริษัทฯ จะจัดหาด้วยการรับซื้อจากเกษตรกรในเขต จ.ปราจีนบุรี และจังหวัดใกล้เคียง เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรที่อยู่รอบโรงไฟฟ้ามีรายได้เสริม ประมาณ 1,235 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้ในอนาคตอาจมีการใช้ชีวมวลชนิดอื่นเพิ่มเติม ซึ่งทางบริษัทฯ มีนโยบายที่จะพัฒนาเชื้อเพลิงชีวมวลอื่นๆ หรือพลังงานที่ปลูกได้อย่างต่อเนื่อง เช่น หญ้าเนเปียร์ เพื่อสร้างความมั่นคงทางพลังงานและลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลจากน้ำมันและก๊าซธรรมชาติซึ่งกำลังจะหมดไปจากโลก
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวล 5A ขณะนี้เฟสแรกในส่วนการผลิตไอน้ำขนาด 300 ตันต่อชั่วโมง ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2555 โดยได้จำหน่ายไอน้ำให้กับโรงไฟฟ้าในกลุ่มบริษัทฯ เพื่อให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้เต็มกำลังการผลิต และจำหน่ายไอน้ำให้แก่ดั๊บเบิ้ล เอ เพื่อใช้ในการต้มเยื่อและอบกระดาษ ทำให้โรงไฟฟ้า 5A มีรายได้จากการขายไอน้ำในปี 2555 จำนวน 789 ล้านบาท และกำลังดำเนินการเฟส 2 ในส่วนการผลิตไฟฟ้า ซึ่งได้ติดตั้งหม้อไอน้ำเสร็จแล้ว และอยู่ในระหว่างการก่อสร้างกังหันไอน้ำ คาดจะเริ่มเดินเครื่องผลิตไฟฟ้าได้ประมาณต้นปี 2558 โดยจะใช้แกลบและเปลือกไม้เป็นเชื้อเพลิงชีวมวลในการผลิตไฟฟ้า
ทั้งนี้หากโรงไฟฟ้า 5A เดินเครื่องผลิตไฟฟ้าแล้ว คาดว่า จะทำให้เอ็นพีเอส มีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,850 ล้านบาท ดังนั้นเมื่อรวมรายได้ใหม่จากโรงไฟฟ้าทั้งสองแห่ง เอ็นพีเอสจะมี ประมาณการรายได้เพิ่มขึ้น 5,850 บาทต่อปี ทำให้ประมาณการรายได้โดยรวมของเอ็นพีเอสเพิ่มขึ้นจากเดิม 12,000 ล้านบาทต่อปี เป็น 17,850 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม เอ็นพีเอสมีนโยบายที่จะเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งการผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าและไอน้ำ รวมทั้งมีนโยบายขยายการลงทุนและพัฒนาธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน การบริหารจัดการเชื้อเพลิง การวิจัยและส่งเสริมการปลูกต้นพลังงานสร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ริเริ่มและพัฒนาเชื้อเพลิงชีวมวลประเภทใหม่ๆ เช่น หญ้าเนเปียร์ ทะลายปาล์ม เหง้ามันสำปะหลัง และซังข้าวโพด เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการผลิตไฟฟ้า เพื่อส่งเสริมการเป็นผู้นำทางด้านพลังงานทดแทน พลังงานที่ปลูกได้ เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน และเป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งช่วยให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านเชื้อเพลิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ