ด้วยการเปิดตัว ครีซอล® นวัตกรรมเลนส์แบบใหม่ของโลก
กลุ่มบริษัทเอสซีลอร์ (Essilor Group) ถือเป็นผู้นำอันดับหนึ่งของวงการอุตสาหกรรมเลนส์แว่นตาระดับโลก โดยมีชื่อเสียงโด่งดังในการพัฒนาและผลิตเลนส์แว่นตาคุณภาพสูง รวมถึงอุปกรณ์ทางด้านออพติกและการตรวจวัดสายตาระดับโลก โดยในแต่ละปี เอสซีลอร์ มีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มากถึง 150 ล้านยูโร ต่อปี โดยมีทีมนักวิจัยกว่า 550 คน ทั่วโลก ส่งผลให้เอสซีลอร์สามารถคิดค้นเลนส์สายตาแบบใหม่ๆ ที่มีความสามารถโดดเด่นออกมาสู่ท้องตลาดเรื่อยๆ โดยใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เป็นสิทธิบัตรเฉพาะของเอสซีลอร์ ทั้งเลนส์สายตาชั้นเดียว (Single Lens) และ เลนส์สายตาสำหรับผู้สูงอายุ (Progressive Lens)
จากการศึกษาวิจัย พบว่า การได้รับรังสี UV จากแสงแดดมากเกินไป เสี่ยงต่อโรคทางสายตา เช่น ต้อเนื้อ ต้อกระจกบางชนิด และโรคจอประสาทตาเสื่อม (AMD) ซึ่งตอนนี้ยังไม่มีวิธีรักษา แค่ 40% ของยูวี สามารถทำให้เกิดต้อกระจกได้หากอยู่กลางแจ้งนานๆ ซึ่งรังสี UV นั้นนอกจากจะมีอยู่ในแสงแดดแล้ว ยังมีอยู่ในหลอดไฟ จอมือถือ และจอคอมพิวเตอร์ฯลฯ อีกด้วย ผู้ที่สวมใส่แว่นใสๆ ธรรมดา อาจไม่ได้รับการป้องกันที่เพียงพอ เนื่องจากว่ารังสียูวีนอกจากจะมาจากด้านหน้าของเลนส์แว่นตาแล้ว ยังมีรังสีอีกส่วนหนึ่งที่สามารถทำอันตรายต่อดวงตามาจากการสะท้อนกับผิวด้านหลังของเลนส์แว่นตา การป้องกันรังสียูวีจากทางด้านหลังเลนส์มีความสำคัญมาก เนื่องจากเราไม่สามารถมองเห็นการสะท้อนของยูวีได้ จึงไม่มีสัญญาณเตือนเมื่อเราสัมผัสกับแสงยูวีที่สะท้อนมาจากด้านหลัง เหมือนอาการหดของรูม่านตาหรืออาการตาเอียงที่ไม่มีการป้องกันได้ ทำให้แสงยูวีที่มาจากทางด้านหลังอันตรายมาก ล่าสุด เอสซีลอร์จึงคิดค้นการปกป้องดวงตาให้ปลอดภัยด้วยเลนส์แว่นตา CRIZAL FORTE UV® ที่มีค่าการปกป้องดวงตาจากรังสี UV ถึง 25 เท่า (E-SPF25)
เลนส์แว่นตา CRIZAL FORTE UV® ใช้เทคโนโลยีพิเศษเฉพาะ Broad Spectrum UV โดยเป็นเลนส์ AR (Anti-reflective coating) ชนิดพิเศษที่มีการเคลือบลดแสงสะท้อนเข้าสู่ดวงตาและป้องกันรังสี UV ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเลนส์ จึงป้องกันรังสี UV ได้ดีมาก และเป็นเจ้าเดียวในท้องตลาดที่มีการเคลือบลดแสงสะท้อนจากด้านหลังเลนส์ จึงนับเป็นนวัตกรรมใหม่ เนื่องจากไม่ต้องใส่แว่นตากันแดดตลอดเวลาก็ปลอดภัยจากรังสียูวีได้ นอกจากนี้ ยังมีการทดสอบจริงจากผู้ใส่แว่น ซึ่งพิสูจน์ว่าเลนส์ของเอสซีลอร์ให้วิสัยทัศน์ที่ชัดเจนที่สุด ซึ่งเป็นผลมาจากการที่สามารถปกป้องเลนส์จากอุปสรรคการมองเห็นทั้ง 5 ประการ ไม่ว่าจะเป็น รอยขีดข่วน, ฝุ่น, รอยนิ้วมือ, หยดน้ำ และแสงสะท้อน
คุณสมบัติพิเศษของเลนส์ครีซอล® (CRIZAL®)
- กันฝุ่น ( i-Technology TM) ด้วยการเคลือบผิวเลนส์ที่จัดการกับฝุ่นได้ในระดับโมเลกุล ไม่ทำให้เกิดประจุไฟฟ้าตัวการทำให้ฝุ่นเกาะ ทำความสะอาดง่าย
- น้ำไม่เกาะ (Slide-Fx TM) ด้วยเลนส์ที่มีผิวลื่นกว่าเลนส์แบบธรรมดา และมีการวัดองศามุมสัมผัสของหยดน้ำ จึงป้องกันน้ำเกาะที่ผิวเลนส์ได้มากกว่า
- ลดรอยนิ้วมือ (High Surface Density Process TM ) ด้วยเทคโนโลยีการเคลือบเลนส์ที่หนาแน่น ผิวเลนส์มีความลื่นกว่าเลนส์ทั่วไป จึงมีประสิทธิภาพในการป้องกันคราบรอยนิ้วมือ
- ลดรอยขีดข่วน (SR Booster) ด้วยเทคนิคการผสมสารเคลือบเลนส์ชนิดพิเศษ สามารถประสานชั้นเลนส์ได้เป็นอย่างดี จึงป้องกันรอยขีดข่วนอย่างดีเยี่ยม
- ตัดแสงสะท้อน สุดยอดเทคโนโลยีเอกสิทธิ์เฉพาะของ Crizal® ที่สามารถลดแสงสะท้อนที่เข้าสู่ดวงตา พร้อมป้องกันรังสี UV เป็นพิเศษ ด้วย Broad Spectrum Technology ป้องกันแสงยูวีที่สะท้อนจากด้านหลังเลนส์แว่นตาเข้าสู่ดวงตา
สำหรับผู้ที่ต้องทำงานระยะใกล้ หรือใช้คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทางเอสซีลอร์มีเลนส์ถนอมสาย Crizal Anti-Fatique ซี่งเป็นเลนส์เฉพาะทางที่ช่วยลดอาการเมื่อยล้าของดวงตา ช่วยให้สามารถห่างไกลจากโรค CVS (computer vision syndrome) หรือโรคที่เกิดจากการจ้องคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ ที่ก่อให้เกิดอาการปวดเมื่อยตา เคืองตา น้ำตาไหล ตาแห้ง ปวดคอ ปวดไหล่
ความต้องการเลนส์แว่นตาที่เหมาะสมสำหรับแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับลักษณะความผิดปกติของสายตา, อายุ, สภาพแวดล้อม และกิจกรรม เป็นต้น เอสซีลอร์ใช้เทคโนโลยี Eyecode เพื่อการเลือกสรรเลนส์ที่เหมาะสมสำหรับแต่ละบุคคล ซึ่งถือเป็นความก้าวหน้าของการวิจัยอีกขั้น รวมไปถึง การใช้อุปกรณ์การตรวจวัดสายตาระบบสามมิติ ทำให้ได้ค่าความแม่นยำมากถึง 5 เท่า นอกจากนี้ ทางเอสซีลอร์ยังให้ความสำคัญกับการออกแบบเลนส์สำหรับกลุ่มเฉพาะ อาทิ Azio สำหรับคนเอเชีย เป็นต้น
คุณทฤษฎี ตุลยอนุกิจ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีลอร์ ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “อุตสาหกรรมเลนส์แว่นตาและกรอบแว่นตาในประเทศไทยนั้น ในปีที่ผ่านมา มีมูลค่าการตลาดโดยรวมอยู่ที่ประมาณ 5 พันล้านบาท โดยเอสซีลอร์ มีส่วนแบ่งการตลาดในส่วนของเลนส์แว่นตาอยู่ที่ร้อยละ 25 สำหรับในปีนี้ คาดว่ามูลค่ารวมของทั้งอุตสาหกรรม จะอยู่ที่ 5,500 ล้านบาท ทางบริษัทตั้งเป้าการเติบโตทางการตลาดอยู่ที่ ร้อยละ 10 ต่อปี โดยเจาะกลุ่มผู้ใช้ระดับกลางถึงระดับไฮเอนด์ทั้งนี้ โรงงานของเอสซีลอร์ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง ถือเป็นโรงงานการผลิตที่ใหญ่ที่สุดในโลกของบริษัท และเป็นศูนย์กลางการผลิตเพื่อจำหน่ายในไทย (5%) และในประเทศต่างๆ ทั่วโลก (95%) นอกจากโรงงานผลิตในไทยแล้ว ยังมีห้องแล็บสำหรับตัดและประกอบเลนส์ และมีพันธมิตรร้านแว่นชั้นนำทั่วประเทศอีกกว่า 1,200 ร้านค้า และภายในสิ้นปีคาดว่าจะเพิ่มเป็น 1,500 ร้านค้า”
“นอกจากการจัดกิจกรรมทางการตลาดและการประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมการขายให้แก่ร้านค้าแล้ว เรายังเน้นการส่งเสริมความรู้และให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค นอกจากนี้ ทางเอสซีลอร์ ยังเน้นกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ CSR ตัวอย่างเช่น ในปีที่ผ่านมา มีกิจกรรมการตรวจวัดสายตาในกีฬา Special Olympic และ สถานสงเคราะห์เด็กหญิงบ้านราชวิถี และในปีนี้ก็ได้เตรียมกิจกรรมในส่วนนี้ ซึ่งจะได้แจ้งให้ทราบในลำดับต่อไป”
“เราอยากจะให้ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกเลนส์แว่นสายตาให้มากยิ่งขึ้น เพราะเลนส์แว่นตามีความสำคัญต่อคุณภาพการมองเห็น และสุขภาพตาโดยตรง จะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ มักจะให้ความสนใจกับการเลือกกรอบแว่นมากกว่าการให้ความสำคัญกับการเลือกเลนส์แว่นตาที่มีคุณภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยแก้ไขปัญหาสายตาได้ตรงจุด และป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้ เนื่องจากเลนส์ที่มีจำหน่ายทั่วไปในท้องตลาดมีหลายเกรดมาก บางประเภทก็เป็นเลนส์ที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน หรืออาจมีการใช้สารเคมีที่อาจก่ออันตรายต่อดวงตา” คุณทฤษฎี กล่าวเสริม