กำหนดแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ 4 ด้านหลัก พลิกธุรกิจทำกำไรและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว
บริษัท ผาแดงอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) โรงถลุงสังกะสีแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เปิดเผยถึง การปรับเปลี่ยนแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ในปลายปี 2555 เริ่มส่งผลสัมฤทธิ์ต่องบดุล โดยกำหนดแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ 4 ด้านหลัก ซึ่งเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในรอบ 32 ปีของผาแดง เพื่อพลิกฟื้นธุรกิจจากขาดทุนในปีที่ผ่านมาให้กลับมามีกำไร ทั้งนี้นายฟรานซิส แวนเบลเลน กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า “เราจะทำให้ผลประกอบการถึงจุดคุ้มทุนและกลับมาเป็นบวกตามแผนระยะสั้นถึงระยะกลาง โดยเริ่มจากปีนี้”
จากผลการดำเนินงานที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในไตรมาส 4 ของปี 2555 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 240 ล้านบาท เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปี 2554 มีผลขาดทุน 159 ล้านบาท และสำหรับปี 2555 บริษัทฯ มีผลขาดทุนสุทธิ 517 ล้านบาท เทียบกับปี 2554 มีกำไร 4 ล้านบาท เนื่องจากราคาโลหะสังกะสีโลกที่ปรับตัวลดลง และต้นทุนวัตถุดิบแร่นำเข้าที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงค่าไฟฟ้าและเคมีภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น
ผลประกอบการไตรมาส 4 ของปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสินค้าและบริการ จำนวน 1,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จาก 1,444 ล้านบาทในไตรมาสเดียวกันของปี 2554 เป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 และราคาเฉลี่ยโลหะสังกะสีโลกที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยอยู่ที่ 1,951 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน สำหรับผลประกอบการปี 2555 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและบริการรวม 7,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 สาเหตุหลักเนื่องมาจากปริมาณการขายโลหะสังกะสีที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 แม้ว่าราคาเฉลี่ยโลหะสังกะสีจะลดลงจากปี 2554 ร้อยละ 11 โดยอยู่ที่ 1,948 เหรียญสหรัฐต่อเมตริกตัน
นายฟรานซิส กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ตั้งเงินสำรองค่าใช้จ่ายจำนวน 260 ล้านบาท ประกอบด้วย สำรองจากการประเมินมูลค่าเงินลงทุนในการสำรวจเหมืองแร่ รายจ่ายชดเชยโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน และการประเมินมูลค่าสินค้าคงเหลือ ส่งผลให้ไตรมาส 4 ของปี 2555 มีผลขาดทุน หากไม่นับรวมรายการตั้งสำรองค่าใช้จ่ายดังกล่าว ในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคม 2555 บริษัทฯ จะมีผลกำไรสุทธิหนึ่งล้านบาท ซึ่งแสดงให้เห็นชัดเจนว่าแผนงานที่ได้ปรับเปลี่ยนใหม่นั้นเริ่มสัมฤทธิ์ผลที่ดีขึ้น
จุดพลิกฟื้นของธุรกิจ
ปีนี้จะเป็นจุดพลิกครั้งใหญ่ของธุรกิจ ทั้งนี้บริษัทฯ ได้กำหนดแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้สามารถจัดการกับความท้าทายในสภาพแวดล้อมทางการตลาดที่แข่งขันอย่างรุนแรง รวมทั้งได้รับประโยชน์จากโอกาสที่จะเกิดขึ้น นายฟรานซิส กล่าวว่า “เมื่อไตรมาสสองของปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ปรับเปลี่ยนวิสัยทัศน์ใหม่มาเป็น “มุ่งเป็นผู้นำในผลิตภัณฑ์โลหะสังกะสีคุณภาพสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...” แทนวิสัยทัศน์เดิมที่มุ่งเป็น “ผู้ผลิตโลหะสังกะสีคุณภาพสูงที่มีต้นทุนต่ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้...” ทั้งนี้เพราะสถานการณ์ที่ราคาโลหะสังกะสีตกต่ำและต้นทุนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งวัตถุดิบจากเหมืองแม่สอดที่คาดว่าจะหมดภายใน 5 ปีนี้ ทำให้เราไม่สามารถเป็นผู้ผลิตโลหะสังกะสีต้นทุนต่ำได้อีกต่อไป เราจึงได้กำหนดแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ใน 4 ด้านหลัก คือ การสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยี การวางระบบจัดหา การพัฒนาอุตสาหกรรมขั้นปลายและสร้างกระบวนการทำงานที่เป็นเลิศ เพื่อปรับงบการเงินให้เข้มแข็ง ปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมให้มั่นคง และสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนในระยะยาว”
นายฟรานซิส กล่าวต่อว่า “เราได้ดำเนินการให้สอดรับกับวิสัยทัศน์ใหม่และมุ่งเน้นตามแผนพัฒนาเชิงกลยุทธ์ทั้ง 4 ด้านข้างต้น โดยการสร้างความมั่นคงด้านวัตถุดิบซึ่งไม่ใช่วัตถุดิบที่มาจากกระบวนการดั้งเดิม การผลิตโลหะมีค่าซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พลอยได้จากการถลุงสังกะสี การขยายกำลังการผลิตและการจำหน่ายโลหะสังกะสีผสมซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่ม และการควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินการ โดยจัดทำแผนดำเนินการทั้งสิ้นจำนวน 11 โครงการ ใช้งบประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อให้บรรลุแผนกลยุทธ์ที่ตั้งไว้“
นายฟรานซิส ยังได้กล่าวในตอนท้ายว่า “ภาครัฐควรเพิ่มการสนับสนุนบริษัทเหมืองแร่ที่มีมาตรการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือเป็นเหมืองแร่สีเขียว เหมือนกับเหมืองผาแดงที่ยังคงดำเนินการอยู่ ประเทศไทยอุดมสมบูรณ์ด้วยทรัพยากรธรรมชาติ ทำไมเราไม่ใช้ทรัพยากรอย่างถูกวิธี ด้วยการสนับสนุนอุตสาหกรรมให้สร้างสรรค์มูลค่าเพิ่ม มีความเคารพต่อธรรมชาติและมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผาแดงฯ ดำเนินการมาตลอดในช่วงเวลา 30 กว่าปี”
การก้าวสู่ศักราชใหม่ของผาแดงฯ ในปีที่ 33 บริษัทฯ ยังได้เปลี่ยนสัญลักษณ์องค์กรใหม่เป็น กราฟิคอักษรย่อ พีดีไอ ที่สามารถมองเป็นสัญลักษณ์อินฟินิตี้ได้ด้วย ใช้คู่สีฟ้าและเขียว เพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ใหม่ขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ทันสมัย ก้าวหน้าและพัฒนาอย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุด เป็นอุตสาหกรรมสะอาด รักษาสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม โดยจะเริ่มใช้สัญลักษณ์ใหม่อย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนี้เป็นต้นไป