เนื้อหาวันที่ : 2013-02-01 10:47:17 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1584 views

KMC ผุด 4 โปรเจ็กต์ยักษ์ ที่ต้องใช้เงินกว่า 2,000 ลบ.

KMC ประกาศปรับสูตรเพิ่มทุนหวังระดมเงินเพิ่ม รองรับแผนผุด 4 โปรเจ็กต์ยักษ์ ที่ต้องใช้เงินกว่า 2,000 ลบ.

บอร์ด KMC อนุมัติปรับสัดส่วนการเพิ่มทุน หวังระดมเงินเพิ่ม รองรับแผนลงทุน 4 โปรเจ็กต์ยักษ์ ที่ต้องใช้เงินกว่า 2,000 ล้านบาท พร้อมชดเชยมูลค่าวอร์แรนต์ให้กับผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดเพิ่มขึ้นถึง 20% พร้อมเลื่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเป็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์นี้ แต่งานนี้ผู้ถือหุ้นไม่ต้องกังวล เหตุไม่กระทบแผนล้างขาดทุนสะสม และการจ่ายปันผล แถม Book Value ยังไม่กระเทือน แต่จะทำให้ได้เงินเพิ่ม ที่จะสามารถรองรับการเติบโตใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยไม่ต้องเพิ่มทุนอีก

นายวิรัตน์ เอี้ยวอักษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ KMC เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติให้เลื่อนวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2556 จากวันที่ 11 กุมภาพันธ์ เป็นวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2556 โดยมีการแก้ไขวาระการประชุมที่เกี่ยวข้องกับแผนการเพิ่มทุนของบริษัทฯ ประกอบด้วย การปรับสัดส่วนการจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของผู้ถือหุ้นเดิม จาก 4 ต่อ 5 เป็น 1 ต่อ 2 ในราคาหุ้นละ 0.50 บาท โดยออกหุ้นเพิ่มทุน 4,486.25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์ 20 บาท) และการปรับสัดส่วนใบสำคัญแสดงสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทครั้งที่ 3 (KMC-W3) ที่จะให้โดยไม่คิดมูลค่า กับผู้ถือหุ้นเดิมที่ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ จากเดิมในอัตรา 5 หุ้นเพิ่มทุนต่อ 3 วอร์แรนต์ และอัตราใช้สิทธิ์ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคา 0.75 บาท เป็น 7 หุ้นเพิ่มทุน ต่อ 4 วอร์แรนต์ และอัตราใช้สิทธิ์ 1 วอร์แรนต์ต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคา 0.60 บาท

ทั้งนี้ กำหนดวันปิดสมุดทะเบียนเพื่อสิทธิ์ในการเพิ่มทุนและรับวอน์แรนต์ในวันที่ 18 มีนาคม 2556 และกำหนดวันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนระหว่างวันที่ 29 มีนาคม ถึงวันที่ 12 เมษายน 2556 คณะกรรมการบริษัทฯยังได้อนุมัติปรับการลดพาร์เพื่อลดส่วนต่ำมูลค่าหุ้นและลดขาดทุนสะสมจาก 20 บาทเหลือ 0.70 บาท เป็น 0.65 บาท เพื่อให้สามารถจ่ายปันผลกับผู้ถือหุ้นได้หากบริษัทฯมีผลการดำเนินงานเป็นกำไร

นายวิรัตน์ บอกด้วยว่า การปรับเปลี่ยนสัดส่วนการเพิ่มทุนดังกล่าว จะทำให้บริษัทฯสามารถระดมทุนได้มากขึ้น จาก 1,300 ล้านบาท เป็น 2,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการลงทุนโครงการขนาดใหญ่และมีศักยภาพซึ่งจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก โดยเงินที่ได้จากการเพิ่มทุนมีแผนจะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 โครงการ ได้แก่ การซื้อที่ดิน 7 ไร่ บริเวณถนนพระราม 9 หน้า RCA ซึ่งใช้เงินทุนในส่วนของบริษัทฯ ประมาณ 450 ล้านบาท เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขนาด 57,000 ตารางเมตร มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท, การลงทุนในโครงการที่เกาะล้าน ที่ต้องใช้เงินค่าซื้อสิทธิ์ประมาณ 290 ล้านบาท และค่าพัฒนาโครงการ ที่ต้องใช้เงินทุนในส่วนของบริษัทฯ อีกประมาณ 500 ล้านบาท รวมไปถึงโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่บริษัทฯกำลังศึกษาความเป็นไปได้ที่หาดใหญ่ และภูเก็ต ที่ต้องใช้เงินลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท

"การปรับสัดส่วนเพิ่มทุนในครั้งนี้ จะทำให้เราได้เงินมากขึ้น เพื่อนำมาพัฒนาโปรเจ็กต์ต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้เงินค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ KMC มีข้อจำกัดในการขอสินเชื่อ แต่เราก็ไม่ต้องการปล่อยโอกาสให้ผ่านเลยไป ซึ่งการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะสามารถรองรับการเติบโตได้ใน 3-5 ปีข้างหน้า โดยผู้ถือหุ้นไม่ต้องกังวลการเพิ่มทุนอีก และขอยืนยันว่าจะไม่กระทบต่อแผนการล้างขาดทุนสะสมเพื่อจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้น อีกทั้งยังไม่กระทบกับ Book Value (BV) ของ KMC มากนัก

 โดยหากเพิ่มทุนในสูตรเดิม BV จะอยู่ที่หุ้นละ 0.70 บาท ส่วนสูตรใหม่ BV จะอยู่ที่ 0.68 บาท ซึ่งคณะ กรรมการมองเห็นแล้วว่าการได้เงินเพิ่มทุนมากขึ้น จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นมากกว่า สำหรับผลของไดลูชั่นราคา ก็สามารถชดเชยได้จากมูลค่าเพิ่มของวอร์แรนต์ ที่เราปรับราคาใช้สิทธิ์ลงจาก 0.75 บาท เหลือ 0.60 บาท ซึ่งเท่ากับว่าผู้ถือหุ้นจะจ่ายเงินเพื่อใช้สิทธิ์ลดลง 20% โดยสูตรใหม่ดังกล่าวนี้ น่าจะสามารถจูงใจให้ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิ์ในการจองซื้อ รวมถึงจูงใจให้มีการจองซื้อเกินสิทธิ์มากขึ้นด้วย และในส่วนของหุ้นเพิ่มทุน PP 5,000 ล้านหุ้น ก็มีนโยบายจัดสรรให้กับผู้ที่จะเข้ามาเป็นพันธมิตรของบริษัทฯ ซึ่งจะเป็นนักลงทุนระยะยาว และมีความรู้ความชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่จะเข้ามาช่วยเสริมการทำธุรกิจของ KMC ได้อีกด้วย" นายวิรัตน์ กล่าว