LVT รับงานเอสซีจี มูลค่ากว่า 152 ล้านบาท ออกแบบระบบเก็บถ่านหินแบบปิดครั้งแรกในอาเซียน
LVT คว้างานโครงการระบบจัดเก็บถ่านหินแบบปิดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน จาก SCG มูลค่ากว่า 152 ล้านบาท โดยรับหน้าที่ตั้งแต่ออกแบบ จัดหาเครื่องจักรอุปกรณ์ และติดตั้ง ใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 9 เดือน เผยเป็นโครงการแรกในอาเซียนที่ช่วยดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมจากการจัดเก็บถ่านหิน หวังได้งานประเภทนี้เพิ่มเติมจากทั้งในและต่างประเทศ นอกเหนือจากงานโรงปูนซิเมนต์ที่โดดเด่นในระดับโลกอยู่แล้ว
นายแฮนส์ จอร์แกน เนียลเซ่น ผู้ก่อตั้งและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอล.วี.เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ LVT ผู้นำธุรกิจด้านการให้บริการวิศวกรรม ออกแบบ คิดค้น พัฒนา จัดหา และควบคุมการติดตั้งอุปกรณ์ในหลายประเทศทั่วโลก เปิดเผยว่า บริษัทได้เซ็นสัญญารับงานโครงการระบบการจัดเก็บถ่านหินแบบปิดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (โครงการวัดบันได) ของบริษัท เอสซีจี เทรดดิ้ง จำกัด มูลค่า 152,068,048 บาท โดยโครงการนี้มีระยะเวลาก่อสร้าง 9 เดือน โดยบริษัทจะรับหน้าที่เป็นผู้ออกแบบด้านวิศวกรรม จัดหาเครื่องจักร อุปกรณ์ รวมถึงการติดตั้ง
“โครงการวัดบันไดเป็นโครงการของบริษัท เอสซีจี เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) มีความจุระดับ 16,000 ตัน ซึ่งเป็นโครงการระดับขนาดกลาง ตั้งอยู่ที่อำเภอนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยโครงการนี้นับเป็นการจัดการระบบการจัดเก็บถ่านหินแบบปิดโครงการแรกในอาเซียน ซึ่งถือเป็นการริเริ่มที่ดีสำหรับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมในการจัดเก็บถ่านหิน ทำให้ชุมชนที่อยู่ใกล้เคียงไม่ต้องกังวล กับเรื่องมลพิษจากถ่านหิน เราจึงเรียกโครงการนี้ว่าโครงการระบบการจัดเก็บถ่านหินแบบปิดเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน” นายเนียลเซ่นกล่าว
ทั้งนี้ เหตุผลที่ทำให้บริษัทได้งานโครงการดังกล่าว เนื่องจากบริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ด้านงานบริการด้านวิศวกรรมที่ต้องพัฒนาสิ่งใหม่ๆ ตั้งแต่การออกแบบ พัฒนา และติดตั้ง โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่อยู่ในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ พลังงาน และเหมืองแร่ หลายแห่ง ซึ่งเครื่องจักรที่คิดค้นโดยบริษัท เช่น เครื่องคัดแยกขนาดของวัสดุที่มี ขนาดเล็กๆ ที่ใช้ในโรงงานผลิตปูนซิเมนต์ เป็นต้น
นายเนียลเซ่น กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่บริษัทได้รับงานในโครงการดังกล่าวเข้ามาเพิ่มทำให้มูลค่างานที่อยู่ระหว่างการรอรับรู้รายได้(Backlog) ของบริษัทอยู่ที่ 2.5 พันล้านบาทและคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ Backlog ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ที่ระดับ 3.2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามแผนงานที่บริษัทได้ตั้งเป้าหมายไว้ก่อนหน้านี้