เดินหน้าขยายธุรกิจน้ำประปา ใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินราว 5 พันล้านในปีหน้า
TTW ลุยโครงการพลังงานในปี 56 ผุดโรงไฟฟ้าโซลาร์ฟาร์มและโรงไฟฟ้าก๊าซชีวภาพ รวมทั้งมองหาโอกาสลงทุนโครงการพลังงานลม พร้อมทั้งเดินหน้าขยายธุรกิจน้ำประปา คาดว่าจะเข้าซื้อกิจการผลิตน้ำประปาในประเทศ 1 แห่ง ใช้เงินลงทุนราว 1 พันล้านบาท โดยบริษัทมีแผนจะออกหุ้นกู้วงเงินราว 5 พันล้านในปีหน้า
นายสมโพธิ ศรีภูมิ กรรมการผู้จัดการบริษัท น้ำประปาไทย จำกัด (มหาชน) หรือ TTW กล่าวว่า โครงการลงทุนผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ (โซลาร์ฟาร์ม) จะมีกำลังผลิตไม่เกิน 10 เมกะวัตต์ โดยบริษัทเข้าไปถือหุ้นในบมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CPK) สัดส่วน 30% โดย CPK มีเขื่อนน้ำงึม 2 และ มีโซลาร์ฟาร์ม 2-3 แห่ง และบริษัทเองก็มีแผนที่จะทำโซลาร์ฟาร์มขึ้นเอง
สำหรับการตั้งโรงไฟฟ้าไบโอแมส 1 แห่งในปีหน้า (ปี 2556) เป็นรูปแบบที่บริษัทลงทุนเอง ซึ่งต้องมีการเจรจากับทางเทศบาลเกี่ยวกับเรื่องการทำสัญญา และเจรจากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) คาดว่าจะได้ความชัดเจนในปีหน้า โดยพื้นที่เป้าหมายที่ตั้งโรงงานจะต้องมีปริมาณขยะไม่ต่ำกว่า 2,000 ตัน/วัน ซึ่งคงไม่ใช่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากสถานที่ตั้งอาจไม่เอื้ออำนวย อาจเป็นหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด เช่น พัทยา ที่มีปริมาณขยะเป็นอันดับที่สองรองจากกรุงเทพฯ ประมาณ 5-6 พันตัน/วัน ตอนนี้อยู่ในระหว่างการศึกษา
ขณะที่บริษัทคาดรายได้ปี 2556 เติบโต 15% เพิ่มขึ้นเป็น 6 พันล้านบาท จากปีนี้ 5.3 พันล้านบาท เนื่องจากการจ่ายน้ำประปาเพิ่มขึ้น และการปรับขึ้นค่าน้ำประปาประมาณ 3% และคาดว่ากำไรสุทธิในปี 2556 จะดีกว่าปี 2555 ด้วย เนื่องจากการได้รับประโยชน์จากนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% และมีกำไรพิเศษจากการได้ภาษีคืนจากนโยบายและหลักเกณฑ์การส่งเสริมการลงทุน (BOI) รวมทั้งตั้งเป้าหมายภายใน 5 ปีข้างหน้า รายได้เติบโตปีละ 15% โดยภายในปี 2560 บริษัทจะสามารถทำรายได้ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท
ด้านเงินลงทุนที่ใช้ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (ปี 2556-2560) ตั้งงบไว้ที่ 2.38 หมื่นล้านบาท โดยจัดสรรเป็นการลงทุนในโครงการน้ำ 40% พลังงาน 30% และสิ่งแวดล้อม 30% ซึ่งแหล่งเงินทุนมาจากการออกหุ้นกู้ใหม่ 5 พันล้านบาท ภายในปี 2556 เงินกู้ธนาคาร 1.2 หมื่นล้านบาท หุ้นกู้เดิม 3.5 พันล้านบาท และกระแสเงินสดของบริษัทอีก 3.3 พันล้านบาท
โดยในปี 2556 บริษัทจะใช้เงินลงทุน จำนวน 4.5-5 พันล้านบาท โดยจะนำไปซื้อกิจการผลิตน้ำประปาภายในประเทศอีก 1 แห่ง มูลค่าประมาณ 1 พันล้นบาท โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 20,000-30,000 ลบ.ม./วัน ซึ่งจะได้รับความชัดเจนในปีหน้า และขยายกำลังการผลิตของโรงผลิตน้ำประปาที่ปทุมธานีเป็น 4.8 แสนลบ.ม./วัน จากเดิม 3.8 แสนลบ.ม./วัน ส่วนโรงงานผลิตน้ำประปาที่สมุทรสาครที่จะขยายกำลังการผลิต จะเป็นการตั้งโรงงานแห่งใหม่ ใช้เงินลงทุนประมาณ 2 พันล้านบาท ในการสร้างโรงงานใหม่และซื้อเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้
ส่วนโครงการบำบัดน้ำเสียชุมชนที่บริษัทที่มีแผนจะขยายกิจการไว้นั้น ปีหน้ายังไม่ได้เห็นโครงการนี้ เนื่องจากยังคงต้องศึกษารูปแบบการทำธุรกิจ เทคโนโลยี และพัฒนาศักยภาพของบุคลากร แต่คาดว่าจะสามารถเกิดขึ้นในช่วง 5 ปีข้างหน้า แต่ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นปีใด เนื่องจากกำลังบำบัดน้ำเสียของประเทศในปัจจุบันไม่เพียงพอกับน้ำเสียที่เกิดขึ้น โดยมีน้ำเสียเกิดขึ้น 3 ล้านลบ.ม./วัน แต่มีกำลังการบำบัดน้ำเสียเพียง 9 แสนลบ.ม./วัน คิดเป็นประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียเพียง 30% และมีโรงบำบัดน้ำเสียในกรุงเทพฯแค่ 8 แห่ง ต่ำกว่าแผนที่ตั้งไว้ 29 แห่ง จึงเป็นสิ่งที่กดดันให้ผู้นำกทม.ต้องเร่งทำโรงงานบำบัดน้ำเสีย ซึ่งถ้าเกิดขึ้นจริง รูปแบบการลงทุนน่าจะเป็นภาครัฐจะเชิญชวนให้เอกชนมาร่วมลงทุน
ด้านโอกาสในการลงทุนในต่างประเทศ ได้มีการเจรจากับหน่วยงานราชการในประเทศลาว พม่า และเวียดนามไว้แล้ว ในการเข้าไปลงทุนทำธุรกิจน้ำประปา เนื่องจากมองว่าปัจจุบันประเทศในอาเซียนกลุ่มที่เข้าไปลงทุนส่วนมากเป็นกลุ่มสื่อสาร พลังงาน และขนส่ง แต่ด้านน้ำประปายังไม่มีธุรกิจเข้าไปลงทุน ซึ่งนายสมโพธิ คาดว่าในปีหน้าการลงทุนในต่างประเทศจะยังไม่เกิดขึ้นสำหรับบริษัทยังคงต้องมองไปอีกภายใน 5 ข้างปีข้างหน้า