เนื้อหาวันที่ : 2012-12-14 16:32:38 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1635 views

สำรอง LPG เริ่มเสี่ยง ปตท.หนุนลอยตัวปีหน้า

ปริมาณสำรองเหลือแค่ 1-2 วัน มีความเสี่ยงเนื่องจากแหล่งซัปพลายใหญ่อยู่ตะวันออกกลาง และยังลดภาระการอุดหนุนของ ปตท.และประเทศชาติ

ปตท.หนุน ก.พลังงานลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มปีหน้า เผยขณะนี้ปริมาณสำรองเหลือแค่ 1-2 วัน มีความเสี่ยงเนื่องจากแหล่งซัปพลายใหญ่อยู่ตะวันออกกลาง และยังลดภาระการอุดหนุนของ ปตท.และประเทศชาติ ด้านรมว.พลังงานหนุนเกษตรกรปลูกหญ้าเลี้ยงช้างเพื่อหมักทำก๊าซชีวภาพผลิตไฟฟ้า มั่นใจต้นปีหน้าออกกฎระเบียบชัดเจน

นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากราคาขายก๊าซหุงต้ม (LPG)ในประเทศที่ต่ำกว่าราคาตลาดโลกถึง 3 เท่าตัว ทำให้ไทยต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ความสามารถของคลังและท่าเรือไม่เพียงพอที่จะรองรับการนำเข้าก๊าซหุงต้มได้เพิ่มขึ้นและปริมาณสำรองก๊าซหุงต้มในประเทศเหลือแค่ 1-2 วันซึ่งถือว่ามีความเสี่ยง ด้านความมั่นคงและการขนส่งเนื่องจากแหล่งซัปพลายใหญ่มาจากตะวันออกกลาง

ดังนั้นนโยบายรัฐที่จะปรับโครงสร้างราคาก๊าซหุงต้มเพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงในปีหน้า ถือเป็นสิ่งที่ดีต่อประเทศไม่ต้องอุดหนุน ขณะเดียวกันภาระการอุดหนุนราคาก๊าซฯของ ปตท.ก็จะลดลงด้วย แต่จะลดภาระเท่าใดยังต้องรอดูความชัดเจนของการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มก่อน

ส่วนกรณีที่กระทรวงพลังงานให้ ปตท.จัดทำแผนขยายเพิ่มสถานีบริการ NGV ให้ชัดเจนเพื่อแลกกับการปรับขึ้นราคาก๊าซฯนั้นขณะนี้ ปตท.อยู่ระหว่างการดำเนินการจัดทำแผนเพื่อเสนอต่อกระทรวงพลังงาน โดยยอมรับว่าการขยายสถานียังมีปัญหาหลายด้าน

สำหรับแนวโน้มราคาน้ำมันในปีหน้าคาดว่าราคาน้ำมันดิบจะอยู่ที่ 100-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ส่วนสิ้นปีนี้ราคาน้ำมันดิบน่าจะอยู่ที่ 105-110 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล โดยราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีปัจจัยเสี่ยงด้านการเมืองค่อนข้างมาก โดยล่าสุดทางอิสราเอลจะเลื่อนการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีให้เร็วขึ้นกว่ากำหนดเป็นต้นปี 56 และปัญหาข้อพิพาทหมู่เกาะสเปรตลีย์ แถบทะเลจีนใต้คงต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด

ด้านนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาลรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวในงานสัมมนา Green Energy Forum :พลังงานสีเขียว ดุลยภาพสู่ความยั่งยืน ว่ากระทรวงพลังงานมีนโยบายสนับสนุนพลังงานสีเขียวอย่างจริงจังโดยเฉพาะก๊าซชีวภาพเพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้า อาทิ หญ้าเนเปียร์หรือหญ้าเลี้ยงช้างนำมาหมักเพื่อให้ก๊าซชีวภาพ ซึ่งพบว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากหญ้าดังกล่าวไม่สูงมากอยู่ที่ 100 ล้านบาท/เมกะวัตต์ โดยอัตราค่าไฟฟ้าแบบFeed in Tariff จะอยู่ที่ 4.50 บาท/หน่วย ตลอดอายุสัญญา 25 ปี ซึ่งต่ำกว่าราคาค่าไฟที่ซื้อจากพลังงานแสงอาทิตย์สูงถึง 9.70 บาท/หน่วย(รวมแอดเดอร์ 6.50 บาท) ทำให้ค่าเอฟทีไม่สูงมากนัก

ดังนั้น กระทรวงพลังงานจะส่งเสริมโครงการผลิตไฟฟ้าจากหญ้าเลี้ยงช้างให้ได้7,000 เมกะวัตต์ภายใน 10 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนเพิ่มขึ้นเป็น 20% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนเพียง 1% เนื่องจากไฟฟ้าส่วนใหญ่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติ 67% ถ่านหิน 20%พลังน้ำ 5% เนื่องจากหญ้าเลี้ยงช้างเพาะปลูกในที่ดอน ทนแล้งได้ดี โดยสร้างรายได้ให้เกษตรกรตันละ 300 บาทสูงกว่าการปลูกมันสำปะหลัง

โดยกระทรวงพลังงานจะออกประกาศรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนและแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานชีวภาพที่ผลิตจากหญ้าเลี้ยงช้างได้ในช่วง ม.ค.-ก.พ.56 คาดว่าจะเห็นการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพนี้ในปี 2558 ขณะนี้โครงการดังกล่าวมีการนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่และนครราชสีมา