เนื้อหาวันที่ : 2012-12-13 10:05:17 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1622 views

โออิชิ เร่งเครื่องรับอาหารโต28%

โออิชิเดินหน้ารุกธุรกิจอาหาร ทุ่มงบ 1.3-1.4 พันล้านผุดสาขาทั่วประเทศ พร้อมลงทุนครัวกลางใหม่เตรียมรับกำลังซื้อ

 โออิชิเดินหน้ารุกธุรกิจอาหาร ทุ่มงบ 1.3-1.4 พันล้านผุดสาขาทั่วประเทศ พร้อมลงทุนครัวกลางใหม่เตรียมรับกำลังซื้อ หลังรัฐปรับค่าแรง 300 บาททั่วประเทศ มั่นใจดันธุรกิจปีหน้าโตต่อเนื่อง 27-28%  ชี้ห่วงปัจจัยต้นทุนพุ่งจากราคาพลังงาน ค่าแรง จัดทัพการบริหารให้มีประสิทธิภาพเลี่ยงขึ้นราคาสินค้า


 นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยกับ ว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2556 บริษัทยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอาหารอย่างต่อเนื่อง โดยจะใช้งบลงทุนประมาณ 1.3-1.4 พันล้านบาท แบ่งเป็น 600 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่มเติมรวม 50 สาขา ซึ่งบริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาชาบูชิมากสุด 20 สาขา เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคในการรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์มีอยู่สูงมาก และจะขยายร้านคาคาชิ 10 สาขา เป็นต้น

ขณะที่ภายในสิ้นปีนี้บริษัทจะมีร้านอาหารเปิดให้บริการทั้งสิ้น 152 สาขา เช่น ชาบูชิ 68 สาขา บุฟเฟ่ต์ 17 สาขา ราเมน 41 สาขา คะโซกูเตะ 10 สาขา นิกุยะ 6 สาขา คาคาชิ 5 สาขา เป็นต้นและบริษัทจะใช้งบประมาณ 5% หรือราว 200-300 ล้านบาท ในการทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ตลอดจนจัดแคมเปญใหญ่กระตุ้นยอดขายธุรกิจอาหารให้เติบ โตอย่างต่อเนื่อง ส่วนงบประมาณกว่า500 ล้านบาท เพื่อลงทุนครัวกลางแห่งใหม่สำหรับผลิตอาหารสำเร็จรูปและวัตถุดิบ และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2556

ส่วนภาพรวมกำลังซื้อในปีหน้าคาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น ซึ่งมีอานิสงส์จากนโยบายการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันทั่วประเทศจะทำให้ผู้บริโภคมีเงินในกระเป๋ามากขึ้น ขณะที่ปัจจัยการ เมืองก็คาดว่าจะไม่มีความวุ่นวายเกิดขึ้น

ปีหน้าบริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาชาบูชิค่อนข้างมาก เพราะร้านอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ที่ผู้บริโภคยังมีความต้องการสูง และจากการเปิดให้บริการที่ผ่านมาผู้บริโภคให้การตอบรับอย่างดีคาดว่าเงินในกระเป๋าของผู้บริโภค จะเพิ่มขึ้น ทำให้การจับจ่ายใช้สอยคึกคัก บริษัทจึงเตรียมจัดกิจกรรมทางการตลาด และจัดแคมเปญใหญ่กระตุ้นยอดขาย" นายไพศาล กล่าว

ด้านปัจจัยที่กังวลในปีหน้าคือแนวโน้มราคาพลังงานที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจี) และน้ำมัน ตลอดจนการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าประ มาณ 5-10% ทำให้บริษัทต้องบริหารจัดการต้นทุนให้ดีมีประสิทธิภาพ เพื่อไม่ต้องปรับราคาสินค้า ด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์สแน็กสาหร่ายโอโนริปีหน้ายังคงทำตลาดต่อเนื่องโดยบริษัทคาดว่าจะมีการเปิดตัว สินค้ารสชาติใหม่เข้าทำตลาดในช่วงปลายปี จากปัจจุบันมีอยู่ 4 รสชาติ เช่น รสซุป เปอร์พิซซ่า และรสนาเบะต้มยำ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามสำหรับธุรกิจอาหาร บริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายเติบโต 27-28%  เช่นเดียวกับปีนี้ที่เติบโต 27-28% ทั้งธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม โดยภาพรวม 9 เดือน บริษัทมียอดขาย 8.57 พันล้านบาท และมีกำไรประมาณ 588 ล้านบาท และปีหน้าบริษัทมีแผนจะปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน 6-7% ด้วย