ผู้นำฝ่ายค้านเผยแผนพิสดารแก้ภาวะเงินฝืดญี่ปุ่น ลากแบงก์ชาติซื้อพันธบัตรรัฐบาล อัดฉีดเงินเข้าระบบ
ผู้นำฝ่ายค้านเผยแผนพิสดารแก้ภาวะเงินฝืดญี่ปุ่น ลากแบงก์ชาติซื้อพันธบัตรรัฐบาล อัดฉีดเงินเข้าระบบ ผ่อนคลายทางการเงินสูงสุด ตั้งเป้าดันเงินเฟ้อถึง 3 เปอร์เซ็นต์
เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน หนังสือพิมพ์นิวยอร์ก ไทม์ส รายงานถึงแผนการใช้นโยบายทางการเงินเชิงรุกของนายชินโซ อาเบะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ได้รับความคาดหมายว่าจะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนธันวาคมนี้ หากพรรคเสรีประชาธิปไตยได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภาญี่ปุ่นตามผลการสำรวจความนิยม (โพล) ในเวลานี้ ทั้งนี้ นายอาเบะประกาศแนวทางดังกล่าวออกมาเรื่อยๆ ระหว่างการหาเสียงตั้งแต่สัปดาห์ ที่ผ่านมา ตั้งแต่การอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าไป ในระบบเศรษฐกิจ รักษาระดับอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงให้เป็นศูนย์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดให้ได้ว่าญี่ปุ่นต้องการปล่อยให้เกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นในประเทศอย่างน้อยที่สุดก็ระยะหนึ่ง
รายงานข่าวอ้างว่า นายอาเบะยืนยันว่า ทางธนาคารแห่งญี่ปุ่น (บีโอเจ) หรือแบงก์ชาติของญี่ปุ่นต้องดำเนินการตามความต้องการของรัฐบาล ตนพร้อมจะกดดันให้บีโอเจดำเนินการในเรื่องนี้ หรือไม่เช่นนั้นก็อาจถึงขั้นแก้ไขกฎหมายว่าด้วยอำนาจของธนาคารกลางญี่ปุ่น เพื่อลดความเป็นอิสระของบีโอเจลงหาก จำเป็น ทั้งนี้ในการหาเสียงในกรุงโตเกียวในวันเดียวกันนี้ นายอาเบะยืนยันว่าจะเรียกร้องให้บีโอเจปรับเป้าอัตราเงินเฟ้อจาก 1 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ให้สูงขึ้นไปอยู่ระหว่าง 2-3 เปอร์เซ็นต์ โดยให้แสดงท่าทีอย่างชัดแจ้งถึงพันธะที่จะดำเนินนโยบายการเงิน "แบบผ่อนคลายสูงสุด" โดยต้องดึงอัตราดอกเบี้ยจาก 0.1 เปอร์เซ็นต์ที่เป็นอยู่ในเวลานี้ลงมาอีกให้เหลือ 0 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนั้น นายอาเบะยังเปิดเผยด้วยว่า กำลังพิจารณาที่จะให้ธนาคารกลาง ทุ่มเงินซื้อพันธบัตรก่อสร้างโดยตรงจากรัฐบาล เพื่อนำเงินมาใช้เป็นงบประมาณในการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ ของภาครัฐที่จะเป็น การอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ
รายงานข่าวระบุว่า แนวทางของนาย อาเบะก่อให้เกิดปฏิกิริยาทั้งทางบวกและลบ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นแนวทางที่คล้ายคลึงกันกับ ที่นักเศรษฐศาสตร์กลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการมานาน แต่ไม่ได้รับการขานรับ แนวทางดังกล่าวส่งผลให้ดัชนีหุ้นนิกเกอิปรับตัวสูงขึ้นเกือบ 500 จุดเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ค่าเงินเยน ซึ่งจะอ่อนตัวลงตามแนวทางผ่อนคลายทางการเงิน อ่อนตัวลงมากถึง 2.5 เปอร์เซ็นต์ ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ส่วนหนึ่งแสดงความวิตกว่าแนวทางดังกล่าวนี้อาจส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อลุกลามจนหาทางหยุดไม่ได้ ในเวลาเดียวกันกับที่มาตรการใช้จ่ายงบประมาณเพื่ออัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบนอกจาก จะก่อหนี้สาธารณะเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังจะทำให้ญี่ปุ่นมีถนนหนทาง สะพานและอื่นๆ ที่ไม่จำเป็นและไม่เป็นที่ต้องการอีกด้วย