ทูฟ ซูด พีเอสบี สัญชาติเยอรมัน ที่ปรึกษาด้านการตรวจสอบ และการให้ใบรับรองมาตรฐานระดับโลก ขยายธุรกิจสู่บริการด้านพลังงานทดแทนและรถ ไฟฟ้า
ทูฟ ซูด พีเอสบี สัญชาติเยอรมัน ที่ปรึกษาด้านการตรวจสอบ และการให้ใบรับรองมาตรฐานระดับโลก ขยายธุรกิจสู่บริการด้านพลังงานทดแทนและรถ ไฟฟ้า หวังสร้างรายได้โตอีก 10% ในปีหน้า ชี้เป็นโอกาสสร้างรายได้จากความต้องการใช้ไฟฟ้าพุ่ง และนโยบายขยายระบบราง
นายชอง เวง โฮ ประธานเจ้าหน้าที่ บริษัท ทูฟ ซูด พีเอสบี จำกัด ผู้นำการให้บริการด้านการทดสอบ การตรวจสอบ และออกใบรับรองต่างๆ สัญชาติเยอรมัน เปิดเผยว่า จากการเติบโตความต้องการใช้พลังงานของประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับได้มีการจัดทำแผนพัฒนาพลังงานทดแทน 10 ปี (2555-2564) บริษัทได้เห็นโอกาสและความสำคัญในจุดนี้ จึงได้ขยายธุรกิจในการตรวจสอบและออกใบรับรองคุณภาพ สำหรับอุตสาห กรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในประเทศ ไทย เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจระบบ การจัดการพลังงาน พลังงานหมุนเวียนและระบบคมนาคมทางรถไฟ ที่รัฐบาลมีแผนจะขยายระบบรถไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น
"จากเดิมที่บริษัทให้บริการด้านทดสอบ ตรวจสอบ และให้การรับรองมาตรฐานในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่นเครื่องมือแพทย์ ผลิตภัณฑ์ยา อาหาร ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และชิ้นส่วนยานยนต์ เท่านั้น โดยมีห้องปฏิบัติการทดสอบอยู่ในสิงคโปร์ ดังนั้น เมื่อมีการขยายธุรกิจให้บริการมายังพลังงานและรถไฟฟ้ามากขึ้น จะทำให้ผู้ประกอบการในประเทศไทย เกิดความสะดวก และช่วย ลดต้นทุนการดำเนินงาน เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ค่อนข้างมาก"
ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีจุดแข็งที่มีผู้เชี่ยวชาญและห้องปฏิบัติอยู่ทั่วโลก ทำให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม ในการช่วยเหลือองค์กรต่างๆ ในการปรับปรุงสภาพแวดล้อม การบริหารจัดการด้านพลังงาน ด้วยการยืนยันผลการตรวจสอบ ดำเนินการทดสอบ ตรวจสอบและออกใบรับรองมาตรฐานต่างๆ ของโครงการที่เกี่ยว ข้องกับพลังงาน
ขณะที่ระบบขนส่งมวลชนรถไฟ ฟ้า บริษัทสามารถให้บริการได้ตั้งแต่การวางแผน ระบบวิศวกรรม การติดตั้ง การทดสอบ การวัดคุณภาพ การดำเนินงานและการรื้อถอน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นในด้านความปลอดภัยและประสิทธิภาพ รวมถึงการเพิ่มมูลค่าทางด้านความประหยัดของต้นทุนให้แก่ผู้ผลิต ผู้อำนวยการและหน่วยงานภาครัฐ
นายณอน บอย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ทูฟ ซูด พีเอสบี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับการดำเนินงานในการให้บริการด้านต่างๆ ผลประกอบการปีนี้น่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียง 200 ล้านบาท และปีหน้าคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตขึ้นไปกว่า 10% จากการขยายการบริการเข้าสู่ธุรกิจพลังงานและระบบคมนาคมทางรถไฟ โดยลูกค้าจะมีทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งเวลานี้อยู่ระหว่างการติดต่อกับกระทรวงพลังงานในการร่วมมือด้านบริการจัดการพลังงานให้เกิดความยั่งยืน รวมถึงการร่วมหารือกับรัฐ บาลในการเข้าไปรับงานโครงการรถไฟ ฟ้าความเร็วสูงด้วย ที่คาดว่ามีโอกาสจะคว้างานได้ เนื่องจากผู้ผลิตอุปกรณ์ต่างๆ ล้วนมาจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นลูกค้าเดิมของบริษัทที่ผ่านการตรวจสอบมาตรฐานมาแล้ว