เนื้อหาวันที่ : 2012-11-19 10:27:39 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1618 views

หุ้นกลุ่มปตท.โตตามดัชนี พีทีทีโกลบอล โดดเด่นจากเศรษฐกิจจีน

ราคาหุ้นกลุ่มปตท. คงไม่ค่อยหวือหวา นักลงทุนรอติดตามการลงทุนในต่างประเทศ

ส่วนไออาร์พีซีรอเวลา โตเต็มที่ภายใน 2 ปีผู้บริหารปตท.คาดราคาหุ้นในกลุ่มปรับขึ้นตามดัชนี เชื่อยังเป็นที่สนใจของนักลงทุน แม้ปรับขึ้นลงไม่หวือหวา แต่มีอนาคตเติบโต ในระยะยาว แถมจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง เผย "พีทีทีโกลบอลฯ" มีโอกาสโตต่อเนื่องในปีหน้า จากอานิสงส์การขยายตัวของเศรษฐกิจจีน ส่วนไออาร์พีซีรอเวลาโตเต็มที่ภายใน 2 ปี

นายสุรงค์ บูลกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน บริษัท ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า ประเมินว่าในหุ้นในกลุ่มปตท.จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง เพราะแนวโน้มราคาหุ้นบริษัทในกลุ่มปตท. น่าจะไปในทิศทางเดียวกับแนวโน้มดัชนีตลาดหุ้นไทย โดยหากในช่วง สิ้นปีดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเกิน 1,300 จุด ตามที่นักวิเคราะห์มีการคาดการณ์ หุ้นกลุ่มปตท.ก็น่าจะปรับขึ้นตาม ประกอบกับกลุ่มปตท. มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง

โดยในส่วนของบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือ ปตท.สผ.(PTTEP) นั้น ราคาหุ้นได้ปรับลดลงต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน (อันเดอร์ แวลู) มานานพอสมควร จากประเด็นการเตรียมเพิ่มทุน ซึ่งจะมีการสำรวจความต้องการราคาเพิ่มทุนในช่วงเดือน ธ.ค.นี้ โดยราคาหุ้นน่าจะสะท้อนแวลูได้ในเวลาที่เหมาะสม

ขณะที่บริษัท ปตท. โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ปีนี้เป็นปีที่ดีมาก จากการฟื้นตัวของธุรกิจปิโตรเคมี และมีแนวโน้มจะโตต่อเนื่องในปีหน้า โดยเฉพาะหากเศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวในระดับ 8% จะส่งผลให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่มขึ้นจำนวนมาก โดยเฉพาะ พาราไซรีน

ส่วนบริษัทไออาร์พีซี (IRPC) จะเน้นการพัฒนาพลาสติกชีวะภาพ ทดแทนพลาสติกที่ใช้ทั่วไป แต่อาจจะต้องใช้เวลาในการพัฒนา 1-2 ปี ขณะที่คดีความต่างๆ ที่เกี่ยวกับคดี ทีพีไอ ก็ถูกปลดล็อคแล้ว ทำให้ในระยะยาวมีอนาคต สำหรับบริษัท ไทยออยล์ (TOP) จะต้องหาโอกาสลงทุนและพัฒนาธุรกิจ เพราะเป้าหมายของประเทศจะมีการลดการใช้น้ำมัน และเพิ่มสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติ ซึ่งไทยออยล์มีเงินค่อนข้างเยอะ ทำให้มีความพร้อมในการลงทุน

"ราคาหุ้นกลุ่มปตท. คงไม่ค่อยหวือหวา นักลงทุนรอติดตามการลงทุนในต่างประเทศ อย่างไรก็ตามหุ้นกลุ่มปตท.เป็นกลุ่มที่เหมาะกับการถือยาว กินเงินปันผล และสามารถถือไว้เป็นมรดกเก็บไว้ให้ลูกหลานได้ในอนาคต"

บล.เกียรตินาคิน วิเคราะห์ว่า ปัจจุบันราคาหุ้น ปตท. ซื้อขายที่ราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้น หรือ พีอีต่ำเพียง 8 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของบริษัทน้ำมันในอาเซียน (ASIAN INTEGRATED OIL) ที่มีพีอีที่ระดับ 11 เท่า ขณะที่ราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้น หรือ LAGGARD เมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มพลังงานในประเทศมาก

โดยการฟื้นตัวของผลประกอบการอย่างโดดเด่น
ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จะทำให้ ปตท. ยังมีความน่าสนใจในการลงทุน ด้านเงินปันผลในช่วงครึ่งปีหลัง คาดว่า PTT จะจ่ายไม่น้อยกว่า 8 บาท ซึ่งจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2.5% โดยคงประมาณการเงินปันผลทั้งปี 2555 ไว้ที่ 13 บาท

ส่วนผลประกอบการของปตท.นั้น ในช่วงไตรมาส 3 มีกำไร 3.6 หมื่นล้านบาท ดีกว่าที่ฝ่ายวิจัยคาดประมาณ 7% เป็นผลมาจากยอดขายก๊าซฯ และยอดขายก๊าซฯ ผ่านโรงแยกก๊าซฯ ที่เพิ่มขึ้นตามความต้องการในภาคการผลิตไฟฟ้าและภาคอุตสาหกรรม

แนวโน้มกำไรไตรมาส 4 อ่อนตัวลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากกำไรของสต็อกน้ำมันที่ ลดลง ตามราคาน้ำมันที่คาดว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงไตรมาส 3 หรืออยู่ที่ระดับ 105 ดอลลาร์ ต่อบาร์เรล ขณะที่ความต้องการใช้ก๊าซฯ ลดลง โดยเฉพาะในภาคการผลิตไฟฟ้าที่เป็น โลว์ซีซัน แม้จะมีมุมมองที่เป็นบวกต่อกลุ่มธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมี ก็ตาม โดยคาดว่าทั้งปีจะมีกำไร 1.09 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.2% จากปีก่อนหน้า