วิกฤตเศรษฐกิจ EU เริ่มส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย ฉุดดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ติดลบ 10.2 %
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2555 นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม พร้อมด้วยดร.ณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ร่วมแถลงข่าววิกฤตเศรษฐกิจ EU เริ่มส่งผลต่ออุตสาหกรรมไทย ฉุดดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ติดลบ 10.2 % ณ กระทรวงอุตสาหกรรม
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) (Manufacturing Production Index - MPI) ไตรมาสที่ 3 (2555) ติดลบร้อยละ 10.2 และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ร้อยละ 65.5 สาเหตุหลักมาจากการลดลงของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออก ที่ถูกกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของตลาดคู่ค้าไทยที่ชะลอตัว ส่วนการผลิตที่ยังคงมีระดับเพิ่มสูงขึ้นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นตอบสนองความต้องการในประเทศ เช่นรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ด้วยแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายบริโภคและลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงผลของนโยบายของรัฐ เช่น โครงการรถคันแรก โครงการจำนำสินค้าเกษตร โครงการป้องกันน้ำท่วม
สำหรับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไปตลาด EU ในเดือนกันยายน 2555 ลดลงร้อยละ 9.7 น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2555 ที่ลดลงร้อยละ 22.9 โดยภาพรวมของการส่งออกสินค้าไป EU ในไตรมาส 3 ของปี 2555 หดตัวร้อยละ 17.8 ซึ่งสินค้าหลักที่ส่งออก คือ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและ เครื่องประดับ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง
ดร.ณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวถึง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมรายสาขาที่สำคัญ ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีดังนี้
อุตสาหกรรมรถยนต์ ในไตรมาสที่ 3/2555 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุน เช่น การขยายนโยบายรถยนต์คันแรก การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น และโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้เป็นปกติ จึงมีการเร่งการผลิตรถยนต์ เพื่อให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า
โดยมีการผลิตรถยนต์ จำนวน 648,751 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 36.68 โดยแนวโน้มอุตสาหกรรม ในไตรมาสที่ 4/2555 คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ 2,350,000 คัน เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.20 มีการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 1,250,000 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวก่อนของปีก่อน ร้อยละ 57.41 และการส่งออก 1,100,000 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกับของปีก่อน ร้อยละ 49.53
อุตสาหกรรมปูซีเมนต์ ในไตรมาสที่ 3/2555 การผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) คาดว่า ขยายร้อยละ 14.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคธุรกิจและภาคอุตสหากรรม การขยายกำลังการผลิตของวัสดุก่อสร้าง และวัสดุทดแทนไม้ ที่ใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัตถุดิบหลักได้รับความนิยมมากขึ้น
การใช้ปูนซีเมนต์ในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย รวมทั้งนโยบายเร่งรัดพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งสู่ชานเมือง ทำให้ความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนแนวโน้มของภาวะอุตสหากรรมปูนซีเมนต์ ในไตรมาสที่ 4/2555 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 18.11 และเมื่อเฉลี่ยทั้งปีคาดว่ายอดการผลิตจะขยายตัวร้อยละ 11.82
ส่วนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ปี 2555 ผลิตภัณฑ์มวลรวม ( Gross domestic product : GDP) ภาคอุตสาหกรรม จะขยายตัวร้อยละ 5.5 – 6.5 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index - MPI) จะขยายตัวร้อยละ 5.0 – 6.0 ส่วนในปี 2556 GDP ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวร้อยละ4.0 – 5.0 และ MPI จะขยายตัวร้อยละ 3.5 – 4.5
โดยมีปัจจัยบวกคือการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐยังมีแนวโน้มที่จะขยายตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ แรงกดดันด้านราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การฟื้นตัวของบางอุตสาหกรรมที่อาจจะล่าช้าไปจนถึงสิ้นปี 2555 ต่อเนื่องถึงปี 2556 และการแข็งค่าของเงินบาท หลังธนาคารกลางสหรัฐประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่ม (QE3)