ผ้าเบรก คอมแพ็ค สยายปีกเดินหน้ารุกรบตลาดไทยและต่างชาติแบบรอบ
“คอมแพ็ค” ผู้นำผลิตภัณฑ์ผ้าเบรกเมืองไทย เผยแผนรุกรบตลาดต่างประเทศแบบ 360 องศา ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดผ้าเบรกในอาเซียนภายใน 10 ปีนับจากนี้ เดินหน้ากรุยทางลุยรัสเซียและบราซิลภายใน 3-5 ปี ส่วนในตลาดในประเทศเร่งขยายโรงงานผลิตในไทย ควบคู่การเจาะตลาด OEM ส่งผลิตภัณฑ์ป้อนโรงงานผลิตรถยนต์และต่อยอดเปิดลูกค้าตลาด OES รายใหม่ ด้วยการส่งสินค้าป้อนศูนย์บริการรถยนต์ชั้นนำหลายยี่ห้อ
ส่วน After Market หรือผ้าเบรกทดแทนที่ส่งขายผ่านตัวแทนกว่า 2,000 ราย และร้านอะไหล่ทั่วไทยยังแข็งแกร่ง มั่นใจจบปี 2555 โกยยอดขายได้กว่า 800 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้น 10-20% เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ทำยอดขายได้กว่า 700 ล้านบาท วอนรัฐเร่งกำหนดมาตรฐานคุณภาพสินค้า หลังโดนสินค้าไร้คุณภาพและแบรนด์ต่างชาติทำลายตลาด เพื่อปกป้องผู้บริโภคและผู้ประกอบการชาวไทยอย่างจริงจัง พร้อมเตรียมโชว์เทคโนโลยีใหม่ ผ้าเบรกคุณภาพเพื่อรถบรรทุกและรถโดยสารขนาดใหญ่ ในงาน “BUS&TRUCK 2012” จัดระหว่าง 1-3 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าไบเทคฯ บางนา
คุณพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและภาพลักษณ์ บริษัท คอมแพ็คอินเตอร์เนชั่นแนล (1994) จำกัด กล่าวว่า ตลาดรถยนต์เมืองไทยปีนี้เติบโตเป็นประวัติการณ์ ด้วยยอดขายภายในประเทศและส่งออกกว่า 2,000,000 คัน แต่ผลิตภัณฑ์บริษัทภายใต้แบรนด์ คอมแพ็ค ไดมอนด์ มูซาชิ และเคนจิ ไม่ได้รับอานิสงส์มากนัก เนื่องจากไม่ได้ทำตลาด OEM กับค่ายผู้ผลิตรถยนต์ แต่มั่นใจว่าจะทำยอดขายตามที่ตั้งเป้าไว้แน่นอน
“ผ้าเบรกคอมแพ็คมีอยู่ 2 ตลาดหลัก คือ ตลาด OES และตลาด After Market โดย After Market เราส่งผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายที่ศูนย์คลิกเซอร์วิส เช่น ศูนย์บริการและร้านอะไหล่ ส่วนตลาดที่ใหญ่กว่านี้มี 2 ประเภท คือ OEM และ OES โดยศูนย์บริการรถยนต์แบรนด์ต่างๆ จะสั่งซื้อผลิตภัณฑ์เราแล้วไปติดโลโก้ของตัวเอง และนำไปติดตั้งในรถของผู้บริโภค ซึ่งเราเข้าไปตลาดนี้มาร่วม 2 ปีแล้ว แต่ผู้ใช้ส่วนใหญ่ไม่ทราบ
แม้ปัจจุบันมียอดขายไม่มากนัก เพราะป้อนสินค้าให้รถยนต์ไม่กี่รุ่น แต่ในอนาคตจะมีเพิ่มอีก 2 แบรนด์ เป็นรถยนต์เชิงพาณิชย์และรถบรรทุกยอดนิยม ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดขายได้แบบก้าวกระโดด ตั้งเป้าว่าภายใน 5 ปีจากนี้ ต้องเพิ่มสัดส่วนตลาด OES ให้ได้ 15% เนื่องจากตลาด OES ใหญ่กว่า OEM เป็นเท่าตัว มูลค่าตลาดคือ จำนวนรถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนและรถป้ายแดงที่ใช้งานมา 2-3 ปี หรือขับมาแล้ว 50,000 กิโลเมตร ต้องเปลี่ยนผ้าเบรกใหม่ ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายพยายามดึงรถเหล่านี้กลับมาใช้บริการที่ในศูนย์บริการตนเอง”
ส่วนตลาด After Market ผ้าเบรกในปีนี้มีมูลค่าใกล้เคียงปีก่อนหรือราว 2,500 ล้านบาท โดยได้รับอานิสงส์จากรถปิกอัพ รถแท็กซี่ และรถตู้บริการที่มีจำนวนมากที่ถูกใช้งานสมบุกสมบัน แต่หลังจากที่ภาครัฐผลักดันนโยบายรถคันแรกผนวกกับภัยน้ำท่วมใหญ่ปีที่แล้ว ทำให้ผู้ใช้ปล่อยรถเก่าไปซื้อรถใหม่มากขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเปลี่ยนผ้าเบรกลดลง โดยปีที่แล้วคอมแพ็คปิดยอดขายกว่า 700 ล้านบาท คาดปีนี้จะเติบโตเพิ่มขึ้น 10-20% หรือกว่า 800 ล้านบาท โดย 9 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม-กันยายน) คอมแพ็คมียอดขายกว่า 700 ล้านบาท และมีภาคขนส่งมวลชนเป็นตลาดใหญ่ โดยเฉพาะรถตู้ Commuter รุ่นเดียว มียอดขายกว่า 300,000 ชุด คอมแพ็คมีส่วนแบ่งตลาด 32% หรือกว่า 100,000 ชุด
คูณเกษม อิสระพิทักษ์กุล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวเสริมว่า 5 ปีจากนี้ไป จะทำตลาด OEM กับค่ายผู้ผลิตรถยนต์แบรนด์ต่างๆ เป็นครั้งแรก เนื่องจากเป็นตลาดใหญ่ที่น่าสนใจ โดยทุ่มงบ 100-300 ล้าน ขยายโรงงานในจังหวัดเพชรบุรีที่มีพื้นที่ 45 ไร่ เพื่อป้อนสินค้าให้โรงงานผลิตรถยนต์
“ปัจจุบันเริ่มก่อสร้างอาคาร 2 หลังแล้ว มีพื้นที่ใช้สอย 6,000-10,000 ตารางเมตร และเชิญที่ปรึกษาเข้ามาดูกระบวนการพัฒนาว่าต้องปรับเปลี่ยนสิ่งใด เบื้องต้นประเมินการลงทุนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ต้องลงทุนซื้อเครื่องจักรมูลค่า 100 ล้านบาท แต่ถ้าเป็นเครื่องจักรระบบ Automation ต้องใช้เงินลงทุน 300 ล้าน และได้ส่งทีมงานไปดูเครื่องจักรทั้งในญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน และจีน โดยเน้นเทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีของเสียน้อย และกระบวนการผลิตต้องนำสิ่งที่เหลือใช้กลับมาใช้งานใหม่ได้อีก”
นอกจากนี้ยังเตรียมขยายการลงทุนตลาดต่างประเทศแบบ 360 องศา นอกเหนือจากส่งผลิตภัณฑ์ไปจำหน่ายในหลายประเทศ โดยจะรุกตลาดร่วมกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในมาเลเซีย เพื่อกระจายสินค้าคอมแพ็ค มูซาชิ เคนจิ และไดมอนด์ ที่ทำร่วมกันมากว่า 1 ปีแล้ว พร้อมทั้งวางแผนตั้งโรงงานผลิตผ้าเบรก ณ นิคมอุตสาหกรรมเมืองทวาย ประเทศพม่า และลงทุนกับผู้ประกอบการรายใหญ่ในอินโดนีเซีย เพื่อขยายตลาดและรองรับเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558
“2 ปีข้างหน้าจะเปิดโรงงานที่ทวาย ด้วยงบลงทุนราว 100 ล้านบาท ระยะแรกเน้นผลิตสินค้าบางประเภท เช่น ผ้าเบรกรถจักรยานยนต์และรถบรรทุก เพื่อตอบสนองความต้องการตลาดทั้งในประเทศพม่าและประเทศเป้าหมาย เนื่องจากทวายเป็นฐานที่สามารถส่งสินค้าไปตามประเทศที่อยู่รอบๆ ได้สะดวก หรือส่งไปประเทศที่ 3 เช่น บังกลาเทศ ศรีลังกา ปากีสถาน ส่วนเครื่องจักรจะขนย้ายจากโรงงานที่ไทยไปติดตั้ง ขณะที่โรงงานในไทยจะลงทุนเพิ่ม ด้วยนำเครื่องจักรและเทคโนโลยีใหม่เข้ามาทดแทน เพื่อยกระดับการผลิตให้ทันสมัยกว่าใคร ซึ่งเทคโนโลยีการผลิตที่มีอยู่มีมาตรฐานระดับโลกอยู่แล้ว”
ส่วนแผนธุรกิจที่ทำร่วมกับบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในอินโดนีเซีย เพื่อให้เป็นศูนย์กลางกระจายสินค้าของบริษัทในอาเซียนที่มีฐานลูกค้ากว่า 50,000 ราย โดยบริษัทตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดผ้าเบรกในอาเซียนภายใน 10 ปีจากนี้ และจัดตั้งหน่วยงานเพื่อดูแลเป็นการเฉพาะ ส่วนตลาดต่างประเทศในปัจจุบันได้ส่งสินค้าไปขายกว่า 30 ประเทศ อาทิ คูเวต กาต้าร์ อียิปต์ ซาอุดีอาระเบีย ศรีลังกา ปากีสถาน ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และอาเซียน มีส่วนแบ่งตลาด 20% แต่ในอนาคตจะเพิ่มขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับการบริหารสต็อกและจัดส่งสินค้า พร้อมทั้งขยายตลาดไปยังรัสเซียและบราซิลภายใน 3-5 ปีจากนี้
คุณพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลาดผ้าเบรกเมืองไทยในปัจจุบันมีการแข่งขันอย่างรุนแรง ผู้เล่นหลายรายไม่มีโรงงานผลิตเป็นของตนเอง เพียงเช่าห้องแถวเล็กๆ 1 ห้อง แล้วนำผ้าเบรกคุณภาพต่ำราคาถูกจากจีนส่งไปขายตามร้านอะไหล่ หลายรายขาดความรับผิดชอบกว้านซื้อโครงเหล็กผ้าเบรกเก่าแล้วนำเนื้อเบรกจากจีนมาติดกาวปะบนโครงเหล็กเดิมส่งจำหน่าย
ซึ่งภาครัฐไม่มีมาตรการปกป้องผู้ประกอบการชาวไทยดีเท่าที่ควร เนื่องจากไม่มีข้อกำหนดมาตรฐานผ้าเบรกว่ามีคุณภาพหรือไม่ แต่ยึดมาตรฐานอุตสาหกรรม หรือ ม.อ.ก. ที่ใช้มาหลาย 10 ปีที่ไม่ทันกับยุคสมัย เพราะสมรรถนะเครื่องยนต์ก้าวล้ำกว่า ม.อ.ก. โดยในสหรัฐอเมริกา มี (SAE) ซึ่งเป็นสมาคมที่กำหนดมาตรฐานของผ้าเบรกโดยเฉพาะ
หลายชาติทั่วโลกให้การยอมรับ ผิดกับบริษัทเมื่อส่งสินค้าไปจำหน่ายต่างประเทศต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น ซึ่งการแข่งขันในตลาดบริษัทยอมรับได้หากแข่งกับผู้ที่มีมาตรฐานถูกต้อง แต่ถ้าแข่งกับผู้ผลิตที่ไร้ความรับผิดชอบและบอกว่านี่คือ “ผ้าเบรก” ย่อมเสียเปรียบแน่นอน ที่ผ่านมาสมาคมผู้ประกอบการผ้าเบรกและบริษัทพยายามผลักดันมาโดยตลอด แต่ภาครัฐไม่ได้ให้ความใส่ใจอย่างจริงจัง
“ในเมืองไทยมี “คอมแพ็ค” ยี่ห้อเดียวที่ทำประกันภัยคุ้มครองผู้บริโภค หากสินค้าของบริษัทก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เรามีประกันจ่ายสูงสุด 10 ล้านบาทต่อครั้งต่อคัน ถ้าถามว่าทำไมบริษัทประกันภัยกล้ารับประกันผลิตภัณฑ์คอมแพ็ค เนื่องจากเรามีเครื่องทดสอบที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า อุบัติเหตุนั้นเกิดจากผลิตภัณฑ์เราจริงหรือไม่ การแข่งขันที่รุนแรงยังไม่หนักหนาเท่ากับการไม่มีมาตรการควบคุมคุณภาพที่ดี การปล่อยให้สินค้าไร้คุณภาพมาจำหน่ายให้กับผู้บริโภคและทำลายตลาด
ผู้ผลิตชาวไทยหลายรายเจอเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำซาก บางรายท้อแท้และพาลเข้าวงจรอุบาทว์นี้ด้วย ผลเสียจะตกอยู่กับผู้บริโภคโดยตรง อย่างกรณีการยกเลิกใยหิน คอมแพ็คพูดก่อนใครเมื่อ 8 ปีที่แล้ว มาวันนี้ยังไม่มีการดำเนินการจริงจัง ทั้งๆ ในปีนี้จะยกเลิกการใช้ใยหิน ล่าสุดพยายามจะยืดเวลายกเลิกการใช้ใยหินที่ใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผ้าเบรกออกไปอีก 5 ปี แต่ด้วยความรับผิดชอบของบริษัทที่มีต่อผู้ใช้และสังคม ผ้าเบรกคอมแพ็คทุกชนิดทุกรุ่นที่มีวางจำหน่ายไม่ใช้ใยหินมานานแล้ว เราเป็นรายแรกที่ลงมือทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง”
สำหรับมาตรการปกป้องตลาดเพื่อรองรับการแข่งขันที่รุนแรงและรับมือการเข้าสู่ตลาด (AEC) นั้น “คอมแพ็ค” เน้นการสร้างมูลค่าแบรนด์ที่ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 36 ปีให้เพิ่มมากขึ้น ถือเป็นพันธกิจในการปกป้องแบรนด์และตลาดตนเอง นอกจากนี้เน้นรักษาสายสัมพันธ์กับผู้แทนจำหน่ายอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ทำมาโดยตลอด
“ปีที่แล้วน้ำท่วมใหญ่ เราส่งทีมงานช่วยลูกค้า หากสินค้าได้รับความเสียหายจะยกกลับไปทำลายแล้วนำสินค้าใหม่ส่งให้ทันที รวมถึงยืดรอบบัญชีให้ลูกค้า มั่นใจว่าหากเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในตลาด ตัวแทนเหล่านี้กว่า 2,000 ราย จะช่วยสื่อสารให้เราทราบ เพื่อหาทางปกป้องตลาดและฐานลูกค้าได้ทันท่วงที
ส่วนภาคการผลิตเราใช้เทคโนโลยีทันสมัย เพื่อตอบโจทย์ผู้ใช้และใส่ใจต่อสังคมโดยรวมมากขึ้น และในงาน “BUS&TRUCK 2012” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1-3 พฤศจิกายนนี้ ณ ศูนย์แสดงสินค้าไบเทคฯ บางนา ณ บู๊ธหมายที่ J201-J205 เราพร้อมโชว์เทคโนโลยีผ้าเบรกเพื่อรถบรรทุกและรถบัสโดยสารขนาดใหญ่ เพื่อแสดงศักยภาพคนไทยว่ามีความสามารถไม่แพ้ชาติใดในโลก และจะนำเสนอวิวัฒนาการบริษัทตลอดระยะเวลากว่า 36 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าผู้เข้าชมงานและผู้สนใจจะได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด” คุณพัฒนะ อิสระพิทักษ์กุล กล่าว