เนื้อหาวันที่ : 2012-10-10 10:12:48 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1661 views

ทิสโก้โชว์ผลงานบริหาร โบนัส 2 ก่อนกำหนด จ่ายผลตอบแทน 5%

ทิสโก้โชว์ผลงานบริหารกองทุนโด่นเด่น ปิดกอง สเปเชี่ยล โบนัส 2 ก่อนกำหนด จ่ายผลตอบแทน 5%

บลจ.ทิสโก้เผยผลงานบริหารกองทุนโดดเด่นต่อเนื่อง ปิดกองทุนเปิด “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 2” ก่อนกำหนด หลังบริหารเข้าเป้าหมาย 5% ใช้เวลาเพียง 8 เดือน ด้าน TISCO Wealth แนะลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น อายุไม่เกิน 1 ปี และหลีกเลี่ยงการลงทุนในพันธบัตรระยะยาว

 
นายสาห์รัช ชัฎสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและที่ปรึกษาการลงทุน ธุรกิจกองทุนส่วนบุคคลและกองทุนรวม บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด (Mr. Saharat Chudsuwan, Senior Vice President, Head of Marketing and Wealth Advisory Mutual & Private Fund Business, TISCO Asset Management Co.,Ltd.) เปิดเผยว่า จากที่ บลจ.ทิสโก้ ได้ทำการเปิดเสนอขาย “กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 2” (TISCO Special Bonus Fund 2 : TISCOBF2)

ซึ่งเป็นกองทุนรวมผสมแบบกำหนดสัดส่วนการลงทุนในตราสารแห่งทุนไม่เกิน 20% อายุโครงการประมาณ 1 ปี หรือสามารถเลิกกองทุนก่อนครบกำหนดอายุโครงการ หากสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึง 5 % หรือ NAV มีมูลค่ามากกว่าหรือเท่ากับ 10.50 บาทต่อหน่วย ซึ่งขณะนี้ NAV ของกองทุนดังกล่าว ( ณ วันที่ 4 ต.ค. 55) ได้เพิ่มขึ้นเป็น 10.5587 บาทต่อหน่วย ทำให้เข้าเงื่อนไขการเลือกโครงการได้ก่อนกำหนด พิสูจน์ความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการกองทุนของ บลจ.ทิสโก้ ได้เป็นอย่างดี

“ช่วงที่เราเปิดขาย กองทุนเปิด ทิสโก้ สเปเชี่ยล โบนัส 2 เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเผชิญกับความกังวลเกี่ยวกับปัญหาหนี้ในยุโรป ดัชนีหุ้นทั่วโลกปรับลงอย่างรุนแรง ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทย แต่ทิสโก้มองว่าจังหวะดังกล่าวเป็นโอกาสในการลงทุน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องการลงทุนในแบบที่ความเสี่ยงไม่สูงนัก แต่ต้องการแสวงหาผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก จึงควรเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ในช่วงที่ราคาหุ้นยังถูกอยู่

นอกเหนือจากการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน ในช่วงที่ราคาหุ้นดีดกลับ ซึ่งทุกอย่างได้เป็นตามที่ทิสโก้คาดไว้ ทำให้กองทุนดังกล่าวสามารถปิดกองทุนดังกล่าวได้ก่อนครบกำหนด สร้างผลตอบแทนได้ตามเป้าหมายที่ 5% ภายในเวลาประมาณ 8 เดือนเท่านั้น

ด้าน TISCO Wealth บริการที่ปรึกษาการเงินการลงทุนครบวงจรจากทิสโก้ มองว่า กลยุทธ์การลงทุนในตราสารหนี้ที่เหมาะสมในช่วงนี้ยังคงแนะนำให้ลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น อายุไม่เกิน 1 ปี และหลีกเลี่ยงการลงทุนในพันธบัตรระยะยาว โดยคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยสิ้นปีนี้จะยังคงอยู่ที่ 3% เช่นเดิม อีกทั้งนโยบายของทั้ง ECB และธนาคารกลางสหรัฐฯ จะช่วยลดความกดดันในการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ลง เนื่องจากเป็นการสนับสนุนให้มีสภาพคล่องล้นระบบต่อไป

ในขณะที่ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทย ทำให้ในระยะเวลาอันสั้นนี้คงจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูงขึ้น อาจหาจังหวะเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก (ไม่รวมญี่ปุ่น), ตลาดหุ้นจีน และตลาดหุ้นไทย เพื่อเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุน