สนพ.ส่งสัญญาณ เบรกปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีตามที่ปตท.ขอ ชี้เหตุผลยอดการติดตั้งยังล่าช้า และไม่มั่นใจปั๊มที่เปิดยอดการขายจะดี หวั่นไฟเขียวขึ้นแล้ว ประชาชนจะไม่ให้ความสนใจ
สนพ.ส่งสัญญาณ เบรกปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีตามที่ปตท.ขอ ชี้เหตุผลยอดการติดตั้งยังล่าช้า และไม่มั่นใจปั๊มที่เปิดยอดการขายจะดี หวั่นไฟเขียวขึ้นแล้ว ประชาชนจะไม่ให้ความสนใจ ขณะที่ปตท.มั่นใจสิ้นปียอดติดตั้งได้ตามเป้า เพราะราคาน้ำมันแพงส่งผลให้ปริมาณการติดตั้งกลับมาพุ่งอีกครั้ง และผลจากแคมเปญรณรงค์ต่างๆ จะได้ผล |
. |
นายวีระพล จิรประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน(สนพ.) เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า จากกรณีที่บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) จะปรับราคาขายปลีกก๊าซเอ็นจีวีขึ้นอีก 1-2 บาทต่อกิโลกรัมนั้น จากปัจจุบันอยู่ที่ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม ภายในสิ้นปีนี้นั้น ทางสนพ.ในฐานะที่ดูแลด้านราคาพลังงาน จะเชิญปตท.มาหารือ เพื่อสอบถามความจำเป็นและความเหมาะสมหรือไม่ เนื่องจากขณะนี้การรณรงค์การติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีสำหรับรถยนต์ยังมีความล่าช้าอยู่ โดยปัจจุบันอยู่ที่ 31,580 คันเท่านั้น |
. |
ประกอบกับสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีที่ตั้งขึ้นมาเพียงพอและได้ตามเป้าหมายแล้วหรือยัง อีกทั้ง ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคมากน้อยแค่ไหน เพราะหากมีปั๊มเพิ่มขึ้นมากพอแล้ว แต่ไม่มียอดจำหน่ายเพิ่ม จะต้องมาดูว่าเกิดจากสาเหตุใด หากมีการปรับราคาขึ้นไปอีก จะชนเพดานกับราคาก๊าซแอลพีจีที่อยู่ประมาณ 9-10 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้ประชาชนหรือแท็กซี่ไม่หันมาปรับเปลี่ยนเป็นเอ็นจีวี และอาจจะมีผลกระทบต่อจิตวิทยาสำหรับรถยนต์ใหม่ที่จะหันมาติดก๊าซเอ็นจีวีได้ ดังนั้น การจะปรับขึ้นราคาก๊าซเอ็นจีวีคงต้องมีการพิจารณาให้ดี แม้ว่าทางคณะรัฐมนตรีจะมีมติเห็นชอบไปก่อนหน้านี้แล้วก็ตาม |
. |
นายณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ราคาน้ำมันที่เป็นอยู่ในเวลานี้ และมีแนวโน้มว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีกในไม่ช้า จะส่งผลให้ประชาชนที่ใช้รถยนต์หันมาให้ความสำคัญกับการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีราคาเพียง 8.50 บาทต่อกิโลกรัม |
. |
ทั้งนี้ จะเห็นได้จากเมื่อช่วงไตรมาสที่ 3 ของปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่ราคาน้ำมันเบนซินและดีเซลได้ปรับตัวสูงค่อนข้างมาก ทำให้มียอดการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีสูงถึง 120 คันต่อวัน แต่พอช่วงราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่าน ยอดการติดตั้งลดลงอย่างเห็นได้ชัดมาอยู่ที่ประมาณ 60 คันต่อวัน ส่งผลให้บางอู่ติดตั้งไม่มีงาน แต่เมื่อราคาน้ำมันได้ปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ จึงเป็นสัญญาณที่ดีว่าประชาชนได้กลับมาให้ความสำคัญการติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีอีกครั้ง เพราะเวลานี้มียอดการติดตั้งเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ประมาณ 80 คันต่อวันแล้ว |
. |
โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดใหญ่ เช่นรถบรรทุก รถหัวลาก บริษัทที่มีรถยนต์ในสังกัดจำนวนมากได้ตื่นตัวค่อนข้างมาก เพราะเห็นได้จากการสั่งนำเข้าถังขนาด 120-140 กิโลกรัม แต่ละล็อตเข้ามากว่า 1,000 ใบ ไม่สามารถรองรับได้ทัน เพราะแต่ละคันต้องใช้ถังถึง 6 ใบ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนถังในเวลานี้แล้ว |
. |
ประกอบกับปตท.มีโครงการหลากหลายทางเลือกด้วยสิ้นเชื่อเอ็นจีวี 0 % ที่ร่วมกับธนาคารธนชาต จำกัด(มหาชน) บริษัท อิออน ธนสินทรัพย์(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) และบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด(มหาชน) ที่จะสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการติดตั้งเอ็นจีวีโดยไม่มีเงินดาวน์และไม่เสียดอกเบี้ย รวมถึงปตท.ออกเงินสดให้ 10,000 บาทหากติดตั้งเงินสด และมีเงินหมุนเวียนอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อให้กู้สำหรับติดตั้ง |
. |
จากสถานการณ์ดังกล่าวแล้วจึงเชื่อว่า เป้าหมายที่ปตท.วางไว้ว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีรถยนต์ติดตั้งเอ็นจีวีที่ 60,850 คัน จะสามารถดำเนินการได้แน่ ประกอบกับสถานีบริการก๊าซเอ็นจีวีที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 200 แห่ง ภายในกลางปีนี้ เชื่อว่าน่าจะทำได้ตามเป้า จากปัจจุบันเปิดดำเนินการแล้ว 120 แห่ง |
. |
นายณัฐชาติ กล่าวอีกว่า ส่วนการปรับราคาก๊าซเอ็นจีวีที่กำหนดไว้ภายในสิ้นปีนี้นั้น ขณะนี้กำลังดูความเป็นไปได้ว่าจะปรับขึ้นได้หรือไม่ เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่จะนำมาประกอบในการตัดสินใจ เพราะหากปรับขึ้นไปแล้ว แต่ทางภาครัฐไม่มีการปล่อยลอยตัวก๊าซแอลพีจี จะทำให้ราคาก๊าซเอ็นจีวีปรับขึ้นไปชนกับราคาก๊าซแอลพีจีได้ ทำให้ไม่จูงใจให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมาใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ โดยเฉพาะรถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีเป็นจำนวนมากอยู่ในเวลานี้ |
. |
อย่างไรก็ตาม ปตท.พยายามที่จะผลักดันให้รถแท็กซี่ที่ใช้ก๊าซแอลพีจีหันมาติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมียอดติดตั้งวันละ 40 คัน โดยการนำเข้าถังขนาด 100 กิโลกรัมมาติดตั้งให้ เพื่อให้แท็กซี่สามารถวิ่งได้ทั้งวัน โดยเวลานี้มีแท็กซี่ที่เปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีตามโครงการที่ปตท.ติดตั้งให้ฟรีแล้วประมาณ 4,800 คัน หากถึงสิ้นปีนี้แล้วคาดว่าน่าจะได้ถึง 15,000 คัน ซึ่งไม่รวมแท็กซี่ที่ใช้เอ็นจีวีอยู่เวลานี้อีกประมาณ 15,000 คัน |
. |
ที่มา : ฐานเศรษฐกิจ |