เนื้อหาวันที่ : 2012-02-06 09:45:00 จำนวนผู้เข้าชมแล้ว : 1144 views

CIC ชี้เลิกไครโซไทล์ ต้องจ่ายกว่า 4.6 แสนล้าน

ศูนย์ศึกษาข้อมูลไครโซไทล์ เผยผลวิจัยเลิกใช้แร่ใยหิน ทำให้สังคมไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 10 เท่า สร้างผลกระทบต่อทุกภาคส่วน

          ศูนย์ศึกษาข้อมูลไครโซไทล์ เผยผลวิจัยเลิกใช้แร่ใยหิน ทำให้สังคมไทยต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง 10 เท่า สร้างผลกระทบต่อทุกภาคส่วน

          ศูนย์ศึกษาข้อมูลไครโซไทล์ เปิดเผยผลวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ ในกรณียกเลิกการใช้สารไครโซไทล์ เป็นครั้งแรก ชี้ค่าใช้จ่ายประมาณการที่ผู้บริโภค อุตสาหกรรมเกษตร โรงเรียน และกลุ่มโรงพยาบาลต้องแบกรับในการรื้อถอนและติดตั้งกระเบื้องใหม่ อยู่ที่ 4.64 แสนล้านบาท

          สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2554 คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบในหลักการตามข้อเสนอของสมัชชาสุขภาพให้ “สังคมไทยปลอดใยหิน” ซึ่งนำไปสู่ประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าสมควรยกเลิกการใช้และนำเข้าสารไครโซไทล์ ซึ่งเป็นแร่ใยหินชนิดหนึ่งหรือไม่ โดยการทดแทนด้วยสินค้าทางเลือกอื่นๆ ที่ปลอดสารไครโซไทล์

ทางศูนย์ศึกษาข้อมูลไครโซไทล์ หรือ Chrosotile Information Center (CIC) จึงได้จัดทำการวิจัยขึ้น เพื่อศึกษา “ผลกระทบทางสังคมและเศรษฐกิจ หากยกเลิกการใช้สารไครโซไทล์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์กระเบื้องใยหิน ที่มีการใช้สารไครโซไทล์ในสัดส่วนมากที่สุด โดยดร.หวัง อิง เหวย หัวหน้าภาค สาขาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจ คณะบริหาร มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ

          ซึ่งการวิจัยได้วิเคราะห์ผลกระทบโดยตรงหากการยกเลิกการใช้สารไครโซไทล์ ว่าสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ได้แก่ ผลกระทบต่อโรงงานอุตสาหกรรมผู้ผลิตกระเบื้องมุงหลังคา ผลกระทบต่อพนักงานและลูกจ้างในโรงงาน และผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งรวมถึงภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ และภาครัฐบาล นอกจากนี้การยกเลิกการใช้สารไครโซไทล์อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะการฟ้องร้อง เรียกร้องค่าเสียหายและค่ารักษาพยาบาล รวมทั้งค่าสินไหมทดแทนจากภาครัฐและเอกชน

          การวิจัยยังได้ชี้ได้เห็นว่าผลิตภัณฑ์กระเบื้องมุงหลังคาที่ไม่ได้มีส่วนผสมของสารไครโซไทล์ หรือกระเบื้องปลอดใยหินไครโซไทล์ มีคุณภาพและความคงทนต่ำกว่าผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารไครโซไทล์ และยังมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่า กล่าวคือ จะต้องมีการเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 2 – 8 ปี

ความแตกต่างดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ในระยะเวลาประมาณ 20 ปี การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทดแทนอาจก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นกว่า 10 เท่า เมื่อเทียบกับการใช้ผลิตภัณฑ์กระเบื้องใยหินไครโซไทล์ และค่าใช้จ่ายประมาณการในกลุ่มผู้บริโภคที่ทำการศึกษา หากต้องรื้อถอนและติดตั้งกระเบื้องทดแทน จะมีมูลค่าสูงถึง 4.64 แสนล้านบาท

          ปัจจุบัน สารไครโซไทล์เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตกระเบื้องซีเมนต์ความดันสูงหรือกระเบื้องใยหิน เช่น ผลิตภัณฑ์กระเบื้องลอนคู่ กระเบื้องแผ่นเรียบ กระเบื้องวีนิวล์ (Vinyl) ปูพื้น ท่อซีเมนต์ และผลิตภัณฑ์กันความร้อน ในประเทศไทย

สารไครโซไทล์ส่วนใหญ่ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตกระเบื้องใยหิน ซึ่งมีการใช้งานมานานกว่า 50 ปี กระเบื้องใยหินมีการใช้อย่างแพร่หลายในชนบทเนื่องจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีราคาถูก ทนทาน และเหมาะสมต่อการใช้งานในภาคเกษตรและอุตสาหกรรม ตามสภาพอากาศของประเทศไทย