นักลงทุนห่วงแรงงานไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าจะไม่พอภาคการผลิตรถยนต์ จี้รัฐฯ เข้มงวดหลักสูตรในการผลิตระดับ ปวส.และ ปวช.มากขึ้น รองรับฐานการผลิตรถยนต์ให้ได้ 1.8 ล้านคันต่อปี
นักลงทุนห่วงว่าแรงงานไทยในอีก 3 ปีข้างหน้าจะไม่พอภาคผลิตรถยนต์ จี้รัฐฯ เข้มงวดหลักสูตรในการผลิตระดับ ปวส.และ ปวช.มากขึ้น รองรับฐานการผลิตรถยนต์ให้ได้ 1.8 ล้านคันต่อปี |
. |
นายสวัสดิ์ หอรุ่งเรือง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทนครไทยสติปมิล (NSM) กล่าวภายหลังการนำตัวแทนนักลงทุนต่างชาติภาคอุตสาหกรรมรถยนต์เข้าพบนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (30 เมษายน) ว่า หลังจากที่ประเทศไทยทำข้อตกลงเขตการค้าเสรีกับประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้นักธุรกิจต่างชาติสนใจจะเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ญี่ปุ่นได้ตกลงนำเข้าเหล็กจากประเทศไทย |
. |
"นักธุรกิจญี่ปุ่นทวงถามรัฐบาลไทยว่าจะผลิตทรัพยากรบุคคลด้านแรงงานป้อนอุตสาหกรรมรถยนต์ได้หรือไม่ เนื่องจากปัจจุบันกำลังผลิตรถยนต์มีมากถึง 1 ล้านคันต่อปี นักลงทุนตั้งเป้าในประเทศไทยว่าอีก 3 ปีข้างหน้าจะให้มีฐานการผลิตรถยนต์ได้ 1.8 ล้านคัน |
. |
ซึ่งนายโฆสิตได้ยืนยันกับนักลงทุนว่าจะนำเรื่องนี้ไปคุยกับนายวิจิตร ศรีสอ้าน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ให้เข้มงวดในการผลิตระดับ ปวส.และ ปวช.มากขึ้น โดยพิจารณาว่าหลักสูตรใดควรเร่งรัด เนื่องจากวันนี้ทุกสาขาอาชีพกำลังขาดแคลนแรงงาน" |
. |
นายสวัสดิ์กล่าวว่า ทุกวันนี้ประเทศไทยมีแรงงานที่ผลิตรถยนต์อยู่ประมาณ 2 แสนคน ทำให้ตัวแทนกลุ่มอุตสาหกรรมรถยนต์อยากให้มีการผลิตกำลังคนในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์มากขึ้น |
. |
"นักลงทุนเหล่านี้ห่วงว่าแรงงานไทยที่ผลิตรถยนต์จะไม่พอในอีก 3 ปีข้างหน้า และวันนี้ไม่ได้มีเพียงนักลงทุนจากญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ยังมีชาวเยอรมันและชาวสวีเดนที่สนใจเข้ามาร่วมหารือด้วย ซึ่งนายโฆสิตเองก็เร่งรัดว่าจะไปปรึกษากับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และผมเชื่อว่าแรงงานด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ไทยสามารถเพิ่มขึ้นได้อีกแสนกว่าคนแน่นอน เพราะอุตสาหกรรมยานยนต์ในยุโรปและญี่ปุ่นอยากให้ประเทศไทยเป็นสายการผลิต |
. |
ด้านนายโฆสิตกล่าวว่า เรื่องกลุ่มนักลงทุนเข้ามาหารือมี 2 เรื่องใหญ่คือ การขอความเข้าใจเรื่องกฎหมายแรงงานและปัญหาขาดแคลนแรงงาน โดยนายอภัย จันทนจุลกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ชี้แจงในที่ประชุมว่า ประเทศไทยต้องการแรงงานประมาณ 2 แสนคน แต่ในปีนี้จะมีผู้สนใจเพียง 6 หมื่นคนเท่านั้น |
. |
ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ |