ระบบไหลเวียนโดยรวม สำคัญอย่างไร เกร็ดความรู้ที่จะเป็นแนวทางในการระวังรักษาสุขภาพให้แข็งแรง มีอายุยืนยาว
ธนสาร สาสังข์
เกร็ดความรู้ต่อจากฉบับที่แล้ว ตำราแพทย์แผนไทย แพทย์แผนจีน แพทย์ทางเลือก ข้อมูลความรู้สาธารณสุขที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลสุขภาพของเราเอง อย่างเช่น “ระบบโลหิตและระบบน้ำเหลือง” มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดโดยทั่วไป กระแสโลหิตมีความหนาแน่นมากกว่า และหน้าที่หลักคือขนส่ง “โลหิตแดง”
กระแสน้ำเหลืองซึ่งขนส่งของแหลวที่ใสกว่า มีความเป็น “หยิน” มากกว่า และดำเนินการเกี่ยวข้องกับ “เซลล์โลหิตขาว” เป็นหลักทั้ง ๒ ระบบรวมตัวกันเป็น “ระบบไหลเวียนโดยรวม” และสร้างการไหลเวียนในทิศทางที่ตรงข้าม แต่ทว่าส่งเสริมกัน “การหมุนเวียนของโลหิต” เริ่มต้นขึ้นที่หัวใจ แผ่รัศมีออกไปข้างนอก จากนั้นจึงกลับเข้ามา ในทางกลับกัน “การไหลเวียนของน้ำเหลือง” เริ่มขึ้นที่เนื้อเยื่อของร่างกาย แล้วจึงไหลเข้าสู่กระแสโลหิตตอนกลาง
“ระบบน้ำเหลือง” ไม่เหมือนกับ “กระแสโลหิต” คือไม่มีอวัยวะส่วนกลางสำหรับสูบฉีด ฉะนั้น “การไหลเวียนของน้ำเหลือง” มีปัจจัยหลายประการที่ทำหน้าที่กำกับหรือบำรุงรักษาอยู่ เช่น การขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว, การหดเกร็งของกล้ามเนื้อ, การนวดถูส่วนต่างๆ ของร่างกาย, การหายใจการเคลื่อนไหวของ “วิลไล” หรือแม้แต่การทำงานของลำไส้โดยรวม ก็มีผลต่อการไหลเวียนของน้ำเหลืองด้วย
วิลไล ทำหน้าที่รับอนุภาคของอาหารที่ย่อยแล้วเข้าไปอย่างต่อเนื่อง อนุภาคของอาหารนี้จะไหลเวียนสู่กระแสของน้ำเหลืองและโลหิตอย่างต่อเนื่อง ส่วน “ม้าม” เป็นอวัยวะสำคัญของน้ำเหลือง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ “ตับ” ตรงด้านซ้ายของร่างกาย มีหน้าที่ คือ
๑. กรองและทำความสะอาดน้ำเหลือง และของเหลวในร่างกาย “ม้าม” กรองสารต่างๆ เช่น แบคทีเรีย เซลล์โลหิตแดง ที่เสื่อมออกจากของเหลว
๒. สร้างเซลล์โลหิตขาว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ลิมโฟไซต์”
๓. เก็บสำรองโลหิต และแร่ธาตุต่างๆ โดยเฉพาะ “ธาตุเหล็ก”
๔. ผลิตสารปฏิชีวะ (สร้างภูมิคุ้มกัน) มีความสำคัญมากในร่างกายสำหรับการต่อต้าน “แบคทีเรีย”
๕. ผลิตน้ำดี
สรุปหน้าที่หลักของ “ม้าม” คือรักษาความสะอาดของร่างกายด้วยการกำจัดสารพิษส่วนเกิน และระบบทางเดินอาหารมีส่วนสำคัญมากในร่างกายของคนเรา ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหาร พืช ผัก ที่มีสารเคมี และให้ความสำคัญกับการกินพืชผักพื้นบ้านสวนครัวที่ปลูกเองได้จะปลอดภัยมากกว่า
“โลหิต” ของคนเรานั้นปกติแล้วรักษาสภาพความเป็นด่างอ่อนๆ แต่เมื่อเรากินน้ำตาลหรือของหวานต่างๆ ซึ่งเป็นด่างอย่างแรงเข้าไป จะส่งผลให้เลือดเป็นกรดมากไป เพราะออกซิเจนในเลือดต้องไปไล่จับอนุมูลอิสระของน้ำตาลเพื่อคงสภาพความเป็นด่างของเลือดไว้ และแร่ธาตุต่างๆ ในร่างกายที่สำรองไว้จะถูกระดมมาปรับสมดุลให้กับร่างกาย
ถ้าเรากินของหวาน, น้ำอัดลม, ไอศกรีม, น้ำตาลทรายขาว หรือจำพวกของทอดต่างๆ ทุกวัน แร่ธาตุสำรองนี้ก็จะไม่พอ และเราก็จะต้องพึ่งแร่ธาตุที่เก็บไว้ลึกลงไปในร่างกายอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ “แคลเซียม” ในกระดูกส่วนต่างๆ ของร่างกายจะค่อยๆ หมดไปจากกระดูกและฟัน ซึ่งจะส่งผลให้กระดูกผุไปในที่สุด
ผู้เขียนเห็นว่าเกร็ดความรู้เหล่านี้เราควรทราบไว้ จะได้เป็นแนวทางในการระวังรักษาสุขภาพของเราเอง ให้แข็งแรง มีอายุยืนยาวไปตราบนานเท่านานด้วยนะครับ