การใช้ศิลปะในการตักเตือนเป็นสิ่งที่เรียนรู้และฝึกปฏิบัติได้ โดยอาจแปรสถานการณ์เป็นการสอนงาน หรือเป็นพี่เลี้ยงชั่วคราว
พระมหาประสิทธิ์ ญาณปฺปทีโป
พูดถึงการตำหนิติเตียน คงไม่มีใครชอบนักทั้งคนตำหนิและคนที่ถูกตำหนิ บ่อยครั้งเราจะเห็นผู้ใหญ่ว่ากล่าวตักเตือนผู้น้อยเสีย ซึ่งผลที่ออกมาก็เป็นความน้อยใจของผู้น้อยและเป็นความเคืองใจของผู้ใหญ่ซึ่งค่อนไปในทางลบ จนบางครั้งเป็นเหตุให้ไม่กล้าสู้หน้ากัน คลางแคลงใจและไม่อาจร่วมงานกันได้ในที่สุด
ในสถานการณ์ชีวิตจริงๆ แล้ว บางครั้งก็ต้องว่ากล่าวตักเตือนเป็นการทำให้เกิดความเข้าใจและกระตุ้นการเรียนรู้ไม่ให้ผิดพลาดในโอกาสข้างหน้า หรือเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แต่สิ่งที่ควรคำนึงก็คือ “ศิลปะแห่งการตักเตือน”
การใช้ศิลปะในการตักเตือนเป็นสิ่งที่เรียนรู้และฝึกปฏิบัติได้ โดยอาจแปรสถานการณ์เป็นการสอนงาน หรือเป็นพี่เลี้ยงชั่วคราว ซึ่งจะเป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกว่าได้รับคำชี้แนะมากกว่าการจี้ใจดำ พร้อมทั้งทำดีให้เห็นเป็นตัวอย่างไม่ใช่แค่ชี้นิ้วสั่ง อารมณ์และการรับรู้ของอีกฝ่ายจะสัมผัสได้ถึงความตั้งใจและปรารถนาดี
การจะทำให้เกิดความนับถือนั้นต้องแสดงฝีมือให้เขาเชื่อถือเชื่อมั่นในคำพูดของเรา ที่ไม่เพียงแต่เอ่ยปาก หากแต่พูดอย่างไรทำอย่างนั้น ก็สามารถสร้างความรู้สึกศรัทธาขึ้นมาได้แล้ว เพราะการกระทำเป็นสิ่งที่เพิ่มน้ำหนักคำพูดให้มีความจริงและศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น
เรามักจะเห็นกล่องแสดงความคิดเห็น ตั้งไว้หน้าห้องผู้บริหารเพื่อแสดงให้เห็นว่า “ฉันยินดีรับฟังทุกความคิดเห็น” แต่ก็เหมือนไม่มีผลอะไรเท่าไร แต่พอมีใครเขียนด่าเข้าไปก็จะโวยวายหาผู้กระทำที่ไร้ตัวตน แล้วทุกคนก็จะโดนหางเลขกันทั่วหน้า
พอมาถึงยุคสมัยดิจิตอล อินเทอร์เน็ตเว็บไซต์ถูกนำมาใช้เพื่อการสื่อสารที่สามารถตอบสนองการนำเสนอถามตอบกันได้อย่างรวดเร็วสะดวกชัดเจน กระดานข่าวหรือเว็บบอร์ดเป็นกล่องความคิดเห็นที่เปิดตลอดเวลา และรับรู้กันทั่วได้ในทันทีที่เปิด กลายเป็นห้องสนทนาหรือเวทีเสวนาที่ทุกคนสามารถแลกเปลี่ยนกันได้อย่างอิสระ บางครั้งถึงขนาดไม่ต้องไว้หน้ากันเลยทีเดียว ความยำเกรงที่จะพูดตามความรู้สึกถูกทะลายไปเพราะไม่ต้องมองหน้ากัน
ในขณะที่พูดหรือพิมพ์ความคิดเห็นลงบนบอร์ด บางครั้งเนื้อหาและถ้อยคำที่ใช้ก็ตรงหรือรุนแรงกระทั่งก้าวร้าวจนเกินไป หากไม่มีการควบคุมที่ดีพอก็จะเห็นความหยาบคายเล็ดรอดออกมา โดยไม่ต้องคำนึงถึงความถูกต้องหรือเหตุผลใดๆ จนบางครั้งรู้สึกว่าเป็นการ “ระบายอารมณ์” มากกว่า
องค์กรหรือหน่วยงานบางแห่งหวังใช้เทคโนโลยี มาช่วยสานสัมพันธ์ให้เกิดการแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์ต่อการดำเนินงาน เพื่อการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพให้เกิดผลิตผลที่พึงประสงค์ แต่กลายเป็นว่าประสิทธิภาพของเครื่องมือกลับไม่เกิดประสิทธิผลเท่าที่ควร เพราะคนใช้ไม่ได้คิดถึงศักยภาพของตนเอง และเป้าประสงค์ขององค์กร กระดานข่าวจึงกลายเป็นกระดานฉาว ที่เชือดเฉือนกันด้วยข้อความที่มีแต่การด่าทอ สาดโคลนป้ายสีอย่างเมามันโดยไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
ทุกคนจึงเข้าข่ายน่าสงสัยเป็นผู้ต้องหาหรือคู่อาฆาตกันทั่วหน้า บรรยากาศการทำงานจึงตกอยู่ในสภาพเหมือนหนังฆาตกรรมในห้องปิดตาย ทุกคนในห้องจึงตกเป็นผู้ต้องสงสัย นำไปสู่การไม่วางใจกันและกันและพร้อมที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อให้ตนเองรอด กว่าจะรู้ตัวฆาตกรทุกคนก็บาดเจ็บจนไม่อาจปกป้องตนเองไว้ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจรักษาองค์กรไว้ได้
เมื่อช่องทางเพื่อการสื่อสารโดยสะดวกกลายเป็นช่องสื่อทางเสียอย่างสบาย จนทำให้เกิดการประสานงามากกว่าประสานงาน และแนวโน้มของพฤติกรรมแสดงความคิดเห็นแบบไม่แคร์สื่อจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นในโลกไซเบอร์ ซึ่งอาจเป็นสัญญาณอันตรายที่แม้จะเริ่มด้วยสงครามน้ำลายแต่สุดท้ายก็จะกลายเป็นความสูญเสียอันใหญ่หลวง หลายองค์กรจึงมีการรณรงค์การสื่อสารกันด้วย “สัมมาวาจา” โดยหวังว่าจะช่วยให้บรรยากาศของการแลกเปลี่ยนเรียนรู้บนพื้นฐานของความแตกต่างทางความคิดในสมัยนี้ เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
สัมมาวาจา คือ การสื่อสารถึงกันด้วยความดีงาม ประกอบด้วยถ้อยคำไพเราะ ถูกต้องเหมาะแก่กาลเทศะ เพศวัย สถานะทั้งผู้พูดและผู้รับ น้อมนำมาซึ่งประโยชน์สุขอย่างสร้างสรรค์ โดยละเว้นจากการพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ และคำหยาบคาย หันมาพูดแต่คำจริง รักษาคำพูด น่าเชื่อถือ หมั่นพูดแต่ถ้อยคำที่นำไปสู่ความเข้าใจต่อกัน ชวนให้รักใคร่ชื่นชม และมุ่งประโยชน์สาระ มีหลักฐานถูกต้อง
ถือว่าเป็นนิมิตรหมายอันดี หากทุกคนเห็นความสำคัญของการใช้ถ้อยคำ ทั้งการพูด การเขียนและการสื่อสารในลักษณะต่างๆ เพราะจะนำไปสู่ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ตลอดจนถึงการประนีประนอม เพื่อตกลงผลประโยชน์อย่างเป็นธรรม สานสัมพันธ์ให้มีความกลมเกลียวเหนียวแน่นยิ่งขึ้น
ในยุคสมัยที่มีเภทภัยมากมายทั้งจากคนและธรรมชาติ เราทุกคนควรมีความสำนึกร่วมในการที่จะป้องกันและแก้ไขปัญหา เพื่อนำพาประเทศไทยผ่านวิกฤติสังคมและความวิปริตทางธรรมชาติไปให้ได้ หากมองลึกๆ แล้วสิ่งที่สร้างความเสียหายจนแทบจะล่มจมกันทุกวันนี้ ก็เป็นเพราะเราเห็นแก่ตัวมากจนเกินไปโดยไม่สนใจความเป็นชาติ ช่วงชิงกันเองแต่ชาติต้องมาชอกช้ำ ขณะที่ต่างชาติเข้ามากอบโกยคนไทยก็กัดกินเลือดเนื้อของตนเอง แล้วสุดท้ายจะเหลืออะไร มีชื่อประเทศไทยแต่ไม่เหลือความเป็นไทย
มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่สาย ที่เราจะช่วยกันปลุกพลังบวกจากทุกคน ผนึกรวมเป็นมวลชนเพื่อสร้างสรรค์สังคมไทย สละเวลาชีวิตแม้เพียงน้อยนิดที่จะคิดและทำสิ่งดีๆ ร่วมกัน สร้างบรรยากาศของการทำงานที่อบอุ่น สื่อสารเพื่อความรักความเข้าใจอันดีต่อกัน หยิบยื่นน้ำใจอันงดงามตามโอกาส และตระหนักในหน้าที่ของตนเอง ส่วนการเคลื่อนไหวในระดับองค์กรให้เป็นไปภายใต้วิสัยทัศน์ของชาติ ประสานพันธะกิจด้วยกรอบคิดและแผนงานที่บูรณาการเชื่อมโยง คำนึงถึงความสุขมวลรวมของชาติ และการพัฒนาที่ยั่งยืน
ขอบคุณบทความดี ๆ จาก Add Free Magazine