ปตท. เผยราคาน้ำมันดิบทุกชนิดปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI อยู่ 108-113 และ 98-105 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
ปตท. เผยราคาน้ำมันดิบทุกชนิดปรับตัวเพิ่มขึ้น คาดสัปดาห์นี้ราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI อยู่ 108-113 และ 98-105 เหรียญสหรัฐต่อบาเรล
ฝ่ายบริหารความเสี่ยงราคาและวิเคราะห์ตลาดต่างประเทศ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รายงานถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันว่า ราคาน้ำมันดิบสัปดาห์ที่ 28 พ.ย. ถึง 2 ธ.ค. 54 ปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกชนิดโดย ราคาน้ำมันดิบดูไบ (Dubai) เฉลี่ยเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน 0.75 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ระดับ 108.68 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล
และน้ำมันดิบเวสเท็กซัส (WTI) เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3.09 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรลอยู่ที่ 99.90 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.40 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ 109.82 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล
ส่วนราคาน้ำมันสำเร็จรูป น้ำมันเบนซิน 95 เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.33 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ 111.10 เหรียญสหรัฐฯ/บาร์เรล ขณะที่น้ำมันดีเซลเฉลี่ยลดลง 0.27 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล อยู่ที่ 125.15 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล โดยมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคา ได้แก่
ผลกระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงบวก
- กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ปรับตัวเลขอัตราการว่างงานในเดือน ต.ค. 54 ลดลงจากเดิม 9.0% มาอยู่ที่ระดับ 8.6%
- ธนาคารกลางของยูโรโซน แคนาดา อังกฤษ ญี่ปุ่น สหรัฐฯ และสวิตเซอร์แลนด์มีมาตรการเพื่อช่วยธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินที่ขาดสภาพคล่องโดยให้กู้ยืมเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราดอกเบี้ยต่ำเป็นการช่วยเหลือธนาคารในยุโรปที่ได้รับผลกระทบต่อจากวิกฤติหนี้สาธารณะ ปัจจัยดังกล่าวส่งให้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น และทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลง
- รัฐบาลอังกฤษสั่งปิดสถานทูตอิหร่านในกรุงลอนดอนเพื่อตอบโต้รัฐบาลอิหร่าน ภายหลังจากที่นักศึกษาอิหร่านได้บุกเข้าไปในสถานฑูตอังกฤษ และเผาธงชาติอังกฤษในอิหร่านก่อนหน้านี้
- อิตาลีประสบความสำเร็จในการขายพันธบัตรสองประเภทได้แก่พันธบัตรวงเงิน 3,500 ล้านยูโร อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 7.89% เป็นวงเงินสูงสุดตั้งแต่ปี 2540 และพันธบัตรวงเงิน 2,500 ล้านยูโร อายุ 11 ปี อัตราดอกเบี้ย 7.56%
- ธนาคารกลางของจีนปรับลดเงินสดสำรองตามกฎหมายของธนาคารพาณิชย์ (Reserve Requirement Ratio) (RRR) 0.5% มาอยู่ที่ระดับ 21% มีผลตั้งแต่วันที่ 5 ธ.ค. 54 เป็นต้นไปนับเป็นการปรับลดครั้งแรกในรอบ 3 ปี
- ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial output) ของญี่ปุ่นเดือน ต.ค. 54 อยู่ที่ระดับ 2.4% เพิ่มขึ้นจากเดือน ก.ย. 54 ซึ่งอยู่ที่ระดับ -3.3% ปัจจัยดังกล่าวถือว่าภาคอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเริ่มฟื้นตัวภายหลังจากได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงเดือน มี.ค. ที่ผ่านมา
- ท่าขนส่งน้ำมัน 3 แห่ง ของเม็กซิโก ได้แก่ Dos Bocas, Cayo Arcas และ Coatzacoalcos ยังคงปิดดำเนินการตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. เป็นต้นมาเนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน ทั้งนี้ในเดือน ต.ค. 54 เม็กซิโกส่งออกน้ำมันดิบ 1.38 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ผลกระทบต่อราคาน้ำมันในเชิงลบ
- Standard & Poor's ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารรายใหญ่ของโลก 37 แห่ง อาทิ Royal Bank of Scotland, UBS AG และได้ลดอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดใหญ่สหรัฐฯ อาทิ Bank of America, Citigroup Inc, Goldman Sachs Inc และ Morgan Stanley เป็นต้น
- OPEC ผลิตน้ำมันดิบเดือน พ.ย. 54 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.46 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ระดับ 30.27 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับการผลิตสูงสุดในรอบ 3 ปี เนื่องจากแองโกลาเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันดิบจากแหล่ง Pazflor ซึ่งเป็นแหล่งใหม่ ขณะที่ลิเบียกลับมาเพิ่มกำลังการผลิตอย่างต่อเนื่อง
- National Oil Corporation (NOC) ของลิเบียรายงานการผลิตน้ำมันดิบล่าสุดเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อนประมาณ 0.09 ล้านบาร์เรลต่อวัน อยู่ที่ระดับ 0.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน
- รัสเซียผลิตน้ำมันดิบเดือน พ.ย. 54 อยู่ที่ระดับ 10.34 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ราคาน้ำมันมีแนวโน้มทรงตัวอยู่ในระดับสูงจาก สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างชาติตะวันตก และอิหร่าน
ทั้งนี้อิหร่านเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ของ OPEC ผลิตประมาณ 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งหากอิหร่านตอบโต้ชาติตะวันตกโดยนำน้ำมันมาเป็นอาวุธอาจส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันตึงตัว ราคาน้ำมันดีดตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ The Frontier Weather พยากรณ์อุณหภูมิทั่วสหรัฐฯ จะลดลงต่ำกว่าปกติในช่วงสัปดาห์ที่ 7 -10 ธ.ค. นี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้สหรัฐฯ มีความต้องการใช้น้ำมัน Distillates เพื่อนำไปทำความร้อนเพิ่มขึ้น
อย่างไรก็ตามให้ติดตามตัวเลขทางเศรษฐกิจ อาทิ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ คาดการณ์อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของยุโรป และยอดสั่งซื้อภาคอุตสาหกรรมของเยอรมนีที่จะประกาศในช่วงสัปดาห์นี้ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลต่อราคาน้ำมัน ในระยะสั้น คาดว่าราคาน้ำมันดิบ Brent และ WTI จะแกว่งตัวอยู่ในกรอบ 108-113 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล และ 98-105 เหรียญสหรัฐฯ /บาร์เรล ตามลำดับ